ทั่วโลกกำลังอยู่ในสถานการณ์ของโควิด ในแต่ละประเทศก็จะมีกฎในการควบคุมเชื้อไวรัสที่แตกต่างกันออกไป อย่างประเทศไทยเราเองก็มีช่วงของพรก. ฉุกเฉิน อยู่ช่วงหนึ่ง ซึ่งจะมีเวลากำหนดว่ากี่โมงถึงกี่โมงที่ห้ามออกนอกสถานที่พักอาศัย แต่เราซึ่งเป็นคนไทยที่ยังติดอยู่ในประเทศมาเลเซีย ที่กำลังอยู่ในช่วงของการควบคุมสถานการณ์โควิดด้วยเช่นกัน โดยที่นี่จะมีกฎว่า แต่ละโต๊ะนั่งได้ไม่เกิน 4 คน และบาร์เปิดได้ถึงเที่ยงคืนเท่านั้น ผู้ใดฝ่าฝืนจะถูกปรับ RM1000 หรือเป็นเงินไทยประมาณ 7 พันกว่าบาท
ตำรวจบุกจับปิดทางเข้า-ออก และทุกคนในคลับถูกจับ
คืนนั้นเป็นวันศุกร์ เราออกไปHangoutกับเพื่อนๆชาวมาเลเซียตามปกติ ที่บาร์และร้านอาหารแห่งหนึ่งในเมือง KL พวกเราก็ได้ดื่มเบียร์สังสรรค์กันนิดหน่อย จนถึงเวลาประมาณ 5 ทุ่มกว่าๆ ทางบาร์ก็เริ่มปิดและทยอยเรียกเช็คบิล ปกติคือเราจะตรงดิ่งกลับบ้านเลยนะ แต่คืนนั้นมีเพื่อนคนหนึ่งชวนไปดื่มต่อที่คลับ ซึ่งจริงๆแล้วที่มาเลเซียคลับยังเปิดไม่ได้ เปิดได้แค่บาร์และร้านอาหารเท่านั้น ด้วยความที่เราติดลม เราจึงตกลงไปต่อกับเพื่อนๆที่คลับนี้ กะว่าแวะไปแป๊ปเดียวก็จะกลับ
เมื่อเข้าไปถึงในคลับ พบว่าข้างในคนเยอะมากๆ เรียกได้ว่าแน่นเลยล่ะ เราก็ปาร์ตี้กันกับเพื่อนๆอย่างสนุกสนานโดยไม่คิดไม่ฝันเลยว่า กระทั่งเวลาประมาณเที่ยงคืนครึ่ง อยู่ๆก็มีชายชุดดำสวมเสื้อกั๊กนีออนสีเขียววิ่งเข้ามาและทุกคนในคลับหยุดชะงักดีเจหยุดเล่นเพลง และต่างคนต่างพากันพยายามวิ่งไปที่ประตูเพื่อหาทางออก
เราตกใจมาก และงงว่ามันเกิดอะไรขึ้น ทำไมทุกคนพยายามดันกันไปที่ประตูทางออก พอมองออกไปก็ถึงบางอ้อ…… คิดในใจว่าคงไม่มีอะไรหรอกมั้ง เดี๋ยวคลับคงจะเคลียร์ได้แหละ แต่เราก็คิดผิด
เสียงตำรวจตะโกนบอกให้แยกชาย-หญิง ชายไปฝั่งชวา หญิงไปฝั่งซ้าย และเรียกเก็บพาสปอทของเรา และบัตรประจำตัวประชาชนของทุกคนในคลับนั้น
วินาทีที่ต้องเดินขึ้นรถตำรวจคันใหญ่ๆนั้น เรารู้ชะตาตัวเองแล้วล่ะว่ายังไงก็ต้องไม่รอดแน่ๆ เราจึงส่งข้อความบอกครอบครัวเราไว้ก่อนเลยว่า ถ้าเราหายไปไม่ต้องตกใจ ตอนนี้กำลังไปสถานีตำรวจ
พอถึงสถานีตำรวจ เราก็ถูกแยกออกจากกลุ่มเพื่อนชาวมาเลเซียของเรา โดยเราก็ได้เข้าไปอยู่อีกห้องหนึ่ง ซึ่งมีเฉพาะต่างชาติทั้งนั้น และมีเพื่อนในกลุ่มเราที่เป็นฝรั่งด้วย 2 คน
ทุกคนอยู่ในสถานีตำรวจตั้งแต่เวลาประมาณ ตี3กว่าๆ จนถึง 7 โมงเช้า เราถูกใส่กุญแจมือ และตำรวจพูดว่าเราและเพื่อนๆต่างชาติ จะต้องถูกพาตัวไปห้องขังนะ เพราะเราทำผิดกฎควบคุมสถานการณ์โควิด และด้วยความที่วีซ่าของเราหมดแล้วด้วย แต่ตามกฎเขาอนุโลมให้ต่างชาติที่ยังติดค้างอยู่ในมาเลเซียอยู่ต่อได้จนกว่าจะหมดช่วง MCO หรือ Movement Control Order
7 โมงเช้า บรรดานักท่องราตรีคนอื่นๆที่เป็นชาวมาเลเซียก็ได้รับใบค่าปรับและแยกย้ายกันกลับบ้านในที่สุด แต่ตำรวจเข้ามาและพาตัวเรากับชาวต่างชาติคนอื่นๆไปยังห้องขังที่สถานีตำรวจแห่งหนึ่ง โดยมือของเราก็ยังถูกใส่กุญแจมืออยู่ วินาทีนั้น เราน้ำตาไหลออกมาเลย เพราะเราไม่รู้ว่าเรากำลังจะเจอกับอะไร เราไม่เคยต้องมาเจออะไรแบบนี้มาก่อนเลย
เมื่อถึงห้องขัง ก็ทำการเปลี่ยนชุดจากชุดเดิมของเราเป็นชุดสีส้ม หรือเรียกง่ายๆว่าชุดนักโทษนั่นแหละ และเจ้าหน้าที่ก็ยึดโทรศัพท์ของเราไป โดยที่ไม่ทันให้เราได้ติดต่อกับใครเลย คือโดนสั่งห้ามติดต่อใคร
วันแรกของการใช้ชีวิตครั้งแรกในชีวิตในห้องขังเล็กๆ ที่ข้างในเต็มไปด้วยชาวต่างชาติ ไม่ว่าจะอินโด จีน พม่า เวียดนาม ข้างในนั้นมีคนที่ถูกขังอยู่ประมาณ 20 คนได้ และเป็นห้องที่มีพื้นปูนซีเมนต์ ใช่ค่ะ เราต้องนอนกันบนพื้นแบบนั้นแหละ
ชีวิตข้างในนั้น กว่าจะผ่านไปได้ในแต่ละวัน มันเหมือนนานมากๆเลยล่ะ เราไม่สามารถรู้ได้ว่าตอนนี้เวลากี่โมงแล้ว เราไม่เห็นแม้แต่แสงตะวัน จะมีก็แค่เพียงช่องระบายอากาศเล็กๆข้างบนนั้น คือเป็นห้องสี่เหลี่ยมที่ไม่มีอะไรเลยจริงๆ
เราโชคดีที่ได้อยู่กับสาวชาวเวียดนามคนหนึ่ง ซึ่งมันทำให้เราพอได้มีเพื่อนคุยอยู่บ้าง และมีคนไทยกลุ่มอื่นๆข้างในนั้นที่ถูกจับเพราะพวกเธอทำงานนวดผิดกฎหมาย แต่ในกรณีของเราที่ต้องมาติดคุกก็เพราะฝ่าฝืนกฎการควบคุมโควิด ซึ่งหลายๆคนข้างในนั้นเขาก็ไม่เข้าใจว่า ทำไมเราต้องมาติดคุก ทำไมไม่โดนจ่ายค่าปรับตั้งแต่ที่สถานีตำรวจแบบคนอื่นๆ RM1000 อันนี้เราก็ไม่เข้าใจเช่นกัน
ได้ข้าววันละ 2 มื้อ ไก่ชิ้นเล็กๆ ใช้มือเปล่าๆกิน ไม่มีน้ำเปล่า
มาเรื่องอาหารการกิน ข้างในนั้น บอกเลยว่ามันแย่มากๆ เป็นข้าวเปล่ากับน้ำแกงใสๆและไก่ชิ้นเล็กๆเพียงชิ้นเดียว โดยมื้อเช้า 7 โมงเช้าเจ้าหน้าที่จะเข้ามาปลุกทุกคนให้ตื่นมากิน อาหารมื้อเช้าจะเป็นกาแฟดำใส่ถุง และขนมแครกเกอร์ไม่กี่ห่อ ก็แบ่งๆกันกับคนอื่นๆ เราเป็นคนดื่มกาแฟไม่ได้ แต่ก็ต้องดื่มๆไปเพื่อประทังความหิว
มื้อเที่ยงจะเป็นไก่ชิ้นเล็กๆกับน้ำแกง และน้ำดื่มจะเป็นน้ำแดงมีรสชาติหวานนิดๆให้คนละ 1 ถุง มื้อเย็นจะเป็นไข้ต้ม 1 ลูกกับข้าวเปล่า และใช้มือกินเท่านั้น คือไม่มีช้อนไม่มีอะไรให้เลย แม้แต่น้ำเปล่าก็ไม่มีนะ
มันคือช่วงเวลาแห่งความสุดทรมานมากๆของเรา วันๆนึงเราทำได้แค่นั่งมองประตูเหล็ก หรือเพดาน จนง่วงและนอนหลับไป เราร้องไห้ทุกวัน เราเครียด เราคิดมากตลอดเวลา เพราะเราไม่รู้ชะตาของเราว่าจะเป็นยังไงต่อไป เราก็ได้แต่รอ จนกว่าจะมีเจ้าหน้าที่มาเรียกชื่อและได้ออกไป
เวลาผ่านไป 5 วัน เราก็ถูกเจ้าหน้าที่เรียกชื่อให้ออกไปข้างนอกเพื่อไปให้ปากคำเพิ่มเติม เราดีใจมากๆ คิดว่ามันคงจบแล้วล่ะ แต่เปล่าเลย ที่เจ้าหน้าที่พาตัวเราออกไปนั่นเพราะว่า เพื่อที่จะไปเจอเพื่อนๆของเรานั่นเอง เพื่อนชาวมาเลเซียของเรามาเยี่ยม และซื้อแมคโดนัลมาให้เราเยอะมาก น้ำเปล่า และของใช้เช่นแปรงสีฟัน
ในห้องขังไม่มีสบู่ แปรงสีฟัน ยาสระผม ได้แค่อาบน้ำเปล่าๆ และห้องน้ำก็เหม็นมากๆ
อ้อออ……อยู่ในห้องขัง นอกจากจะไม่มีสบู่ ยาสระผม แล้วก็ยังไม่มีแปรงสีฟันให้ด้วยนะ บอกเลยว่ามันเป็นอะไรที่เลวร้ายมากกับการที่คนเราไม่ได้แปรงฟันมาเป็นเวลากว่า 5 วัน!!!
เมื่อเพื่อนเรามาเยี่ยม และบอกว่าเรา เขาได้จ่ายเงินไปจำนวนมากกว่า RM6000 (หรือประมาณ44615บาท) เพื่อที่จะช่วยประกันตัวเราออกมา ไม่งั้นเราก็จะถูกส่งไปที่ห้องขังใหญ่ และรอถูกส่งกลับประเทศไทยในที่สุด
และเราก็ได้รู้ว่าเพื่อนฝรั่งของเราอีก 2 คนก็ต้องนอนคุกเหมือนกัน เป็นเวลากว่า 4 คืน ถึงแม้พวกเขาจะมีวีซ่าที่ยังไม่หมดก็ตาม เจ้าหน้าที่บอกว่ายังปล่อยตัวตอนนี้เราไม่ได้นะ แต่อาจจะปล่อยในอีก1 อาทิตย์
เมื่อจ่ายเงินเรียบร้อย แล้วเราถูกใส่กุญแจมือพากลับมาที่ห้องขังเดิมอีกรอบ เราก็ต้องทนทุกข์ทรมานกันต่อไป
เรานั่งมองเพดานในห้องสี่เหลี่ยม จนข้ามวันข้ามคืน บางคืนเราก็ไม่ได้นอน เพราะเราปวดหลังมากๆเพราะต้องนอนกับพื้นปูนซีเมนต์แบบนั้น
เป็นประจำเดือนตอนติดคุก เจ้าหน้าที่ให้ผ้าอนามัยแค่ 2 แผ่น
จนกระทั่งวันหนึ่ง ประจำเดือนของเรามา แม้แต่ผ้าอนามัยก็ยังขอไม่ค่อยได้ เราถูกปฎิบัติแบบแย่ๆมากๆ จะได้ใช้ก็แค่เพียงวันละ 2 แผ่น
เวลาผ่านไปจนวันที่ 12 เจ้าหน้าที่เรียกชื่อของเรา วินาทีนั้นเราน้ำตาไหลออกมาเลย เราได้ออกไปข้างนอกและเจ้าหน้าที่ก็ทำการคืนของให้กับเรา ให้เราเปลี่ยนใส่ชุดของเรา แต่ก็ยังต้องใส่กุญแจมืออยู่ เจ้าหน้าที่พาเราขึ้นรถเพื่อไปฟังคำศาลตัดสิน
เมื่อไปถึงศาล เราก็ได้เจอกับเพื่อนๆร่วมชะตาของเรา และเมื่อฟังคำตัดสินเสร็จเราก็ได้รับการปล่อยตัวอย่างจริงจังสักที
เรียกได้ว่านี่เป็นประสบการณ์ที่เลวร้ายที่สุดในชีวิตของเราเลยก็ว่าได้ และมันไม่แฟร์เลยที่เราต้องติดอยู่ในคุก 12 วัน ถูกปฎิบัติแบบสองมาตรฐานเพียงเพราะเราเป้นผู้หญิงไทย แต่เพื่อนๆที่เป็นฝรั่งกลับได้ถูกปล่อยตัวก่อนเรา และชาวมาเลเซียแม้จะถูกจับแต่ก็ไม่ได้มาติดในคุกแบบเรา พวกเขาแค่จ่ายเงินค่าปรับ 1000ริงกิตมาเลเซีย แล้วก็ได้แยกย้ายกันกลับบ้าน ซึ่งเราไม่ได้ก่อเหตุคดีร้ายแรงอะไรขนาดที่จะต้องเอาเราไปขังในคุกแบบนั้น เราไม่สมควรที่จะต้องอยู่ในนั้น