เรื่องราวนรกบนดินที่ศูนย์ฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติดซึ่งตั้งอยู่ในวัดท่าพุราษฏร์บำรุง อำเภอด่านมะขามเตี้ย จังหวัดกาญจนบุรี ยังไม่จบลงง่าย ๆ หลัง “หมอปลา” ไม่ทน! ต่อท่าทีเพิกเฉยของสถานีตำรวจภูธรด่านมะขามเตี้ย จึงพาเหยื่อศูนย์ฟื้นฟูฯ ดังกล่าว โร่แจ้งความกับกองปราบปราม ในข้อหา “ค้ามนุษย์”
ในวันนี้ (22 กันยายน 2564) “หมอปลา” หรือชื่อจริงคือ “นายจีรพันธ์ เพชรขาว” ได้นำผู้เสียหายที่เข้ารับการบำบัดยาเสพติดที่วัดท่าพุราษฎร์บำรุง อำเภอด่านมะขามเตี้ย จังหวัดกาญจนบุรี ประมาณ 10 คน เข้าแจ้งความกับพนักงานสอบสวนกองกำกับการ 5 กองบังคับการปราบปราม เพื่อดำเนินคดีกับผู้ที่เกี่ยวข้องกับศูนย์บำบัดฯ ในข้อหา “ค้ามนุษย์” หลังจาก “หมอปลา” ลงบันทึกประจำวันไว้เป็นหลักฐานที่สถานีตำรวจภูธรด่านมะขามเตี้ย แต่รู้สึกว่าไม่มั่นใจในการดำเนินการของเจ้าหน้าที่ เพราะเพิกเฉยและรู้สึกไม่ปลอดภัย จึงเข้ามาแจ้งความกับกองบังคับการปราบปรามเพื่อ ให้เกิดการดำเนินคดีอย่างตรงไปตรงมา
เบื้องต้นพนักงานสอบสวนกองปราบปราม รับแจ้งความเอาไว้ เพื่อดำเนินการตรวจสอบตามคำร้องทุกข์ ขณะเดียวกันทนายความ “ไพศาล เรืองฤทธิ์” และ “หมอปลา” ขอให้ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ตรวจสอบเจ้าหน้าที่ตำรวจที่นำพาผู้เสียหายมาที่ศูนย์บำบัดแห่งนี้ด้วย
พฤติการณ์ของสถานบำบัดเข้าข่ายค้ามนุษย์
“นายไพศาล เรืองฤทธิ์” ทนายความของผู้เสีย เผยว่าพฤติการณ์ของสถานบำบัดดังกล่าว “เข้าข่ายค้ามนุษย์” เนื่องจากมีการทำเป็นขบวนการตั้งแต่จัดหาผู้บำบัด การนำพา การเรียกรับเงินผลประโยชน์ กักขังทรมาน ทำร้ายและทุบตี ที่สำคัญพบว่า มีผู้เสียชีวิตในสถานบำบัดก่อนหน้านี้ 2-3 คน และเหตุการณ์นั้น ยังไม่มีการชันสูตรพลิกศพ และยังพบว่า มีกลุ่มข้าราชการตำรวจในหลายจังหวัดเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้อง เช่น ในพื้นที่ จังหวัดกาฬสินธุ์ และจังหวัดร้อยเอ็ด อีกทั้ง ยังมีอาสาสมัครในจังหวัดกาญจนบุรี ที่นำตัวผู้ติดยาเสพติดเข้ามารับการบำบัดและเรียกรับผลประโยชน์ด้วย
และยังเผยอีกว่า บางคนไม่ได้เป็นผู้เสพยาเสพติด แต่เป็นผู้ถูกกล่าวหาในคดีอื่น เช่น ปัญหาการทะเลาะวิวาท หรือทำร้ายร่างกาย ก็จะถูกนำมาไว้ที่ศูนย์ฟื้นฟูฯ แห่งนี้ ตำรวจและเจ้าหน้าที่กลุ่มนี้ ได้ต่อรองกับผู้ปกครองว่า หากให้บุตรหลานเข้ารับการบำบัดเป็นเวลา 1 ปี จะไม่ถูกดำเนินคดี แต่จะต้องเสียค่าใช้จ่าย
“หลวงพี่โอ่ง” เจ้าอาวาส อาจมีเอี่ยว
รายการ “ถอนหมุดข่าว” ทาง NEWS1 โดย “นพรัฐ พรวนสุข” บรรณาธิการข่าวการเมืองและกระบวนการยุติธรรม “เครือผู้จัดการ” ได้นำเสนอรายงานพิเศษ “เปิดลับ หลวงพี่โอ่ง วัดท่าพุ พระใหญ่ ใจนักเลง นักบุญหรือเจ้าขุมนรก!?” เมื่อวานนี้ (21 กันยายน 2564) โดยช่วงหนึ่งของรายการได้เผยข้อมูลปูมหลังที่มาที่ไปของ “หลวงพี่โอ่ง”
พบว่า ก่อนมาบวชเคยเป็น “นักเลงวังเย็น” ในเขตอำเภอเมืองกาญจนบุรี มีชื่อเสียงในทางนักบู๊ผู้โชกโชน และก่อนหน้านี้พี่ชายของ “หลวงพี่โอ่ง” ก็เป็นเจ้าอาวาสวัดวังเย็น ชื่อว่า “หลวงพ่อแดง” ต่อมาเมื่อได้บวชพระแล้ว ก็มาจำวัดที่วัดท่าพุราษฎร์บำรุง ที่เป็นวัดเก่าแก่ในอำเภอด่านมะขามเตี้ย และไต่เต้าจนขึ้นมาเป็นพระครูปลัดประสิทธิ์ ลตินธโร และดำรงตำแหน่งเป็นเจ้าอาวาส แล้วจัดตั้ง “มูลนิธิพิทักษ์กาญจน์” ขึ้นมา โดยว่ากันว่า ก็เพื่อจะได้มีเจ้าหน้าที่อาสา มาคอยช่วยเหลือตัวเองด้วย นอกเหนือจากไปช่วยชาวบ้าน
พอทราบข่าว “หมอปลา” พาทนายความกำลังบุกมาลุยวัด “หลวงพี่โอ่ง” ที่อาพาธเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เกิดความเครียดจัดจนมรณภาพกะทันหัน ทั้งที่อายุก็ไม่มาก แค่ 40 กว่าปีเท่านั้น
ทั้งนี้ บรรดานักเลงขาใหญ่ทั้งหลายในเมืองกาญจน์ มีแนวทางอย่างหนึ่งที่คล้ายคลึงกัน คือ ชอบเปิดมูลนิธิการกุศลบังหน้า เพื่อสร้างภาพปกปิดด้านมืดของตัวเองที่ผ่านมา จึงพาลให้หลายคนสันนิษฐานว่า “หลวงพี่โอ่ง” อาจมีเอี่ยวในเรื่องดราม่าศูนย์ฟื้นฟูฯ นี้
เรื่องแดงหลัง “หมอปลา” ได้รับเรื่องร้องเรียนจากผู้ปกครองของเหยื่อ
เรื่องราวน่าหดหู่นี้ ได้รับการเปิดเผย เมื่อวันที่ 20 กันยายน 2564 เปิดเผยว่า หลังได้รับการร้องเรียนจากผู้ปกครองของเหยื่อศูนย์ฟื้นฟูฯ ผู้ติดยาเสพติดในวัดท่าพุราษฏร์บำรุง จังหวัดกาญจนบุรี ร้องเรียนว่า วัดดังกล่าวมีการซ้อมทรมาน ทำสัญญาและเรียกค่าไถ่ หากจะออกมาต้องจ่ายเงิน 10,000 บาท ปัจจุบันมีผู้เข้ารับการบำบัดกว่า 300 ชีวิต กินอยู่ลักษณะคล้ายค่ายกักกัน เด็กอยากหนีมีการใส่กุญแจมือ
หนึ่งในเหยื่อที่เข้าแจ้งความยังเผยในรายการ “โหนกระแส” เมื่อวานนี้ (21 กันยายน 2564) ด้วยว่า นอกจากต้องถูกขึงไว้บนขื่อแล้วทุบตี ยังต้องอาศัยอยู่ในพื้นที่กว้างแค่ 15 เมตร ร่วมกับคนอีกกว่า 200 ชีวิต มีห้องน้ำแค่ 2 ห้อง แถมยังต้องกินข้าวบูดในขันล้างก้น ขันหนึ่งก็กิน 20 คน คนละช้อน
เมื่อ “หมอปลา” และ “ทนายไพศาล เรืองฤทธิ์” พาสื่อมวลชนลงพื้นที่ตรวจสอบศูนย์ฟื้นฟูฯ ดังกล่าว เมื่อวันที่ 20 กันยายน 2564 ก็พบว่า สภาพความเป็นอยู่ย่ำแย่ ไม่ใช่ลักษณะของศูนย์บำบัดตามมาตรฐาน ตามกระทรวงสาธารณสุข สุดท้ายผู้ว่าฯ กาญจนบุรีได้ประสานเจ้าหน้าที่ทหารจากมณฑลทหารบกที่ 17 นำรถทหาร มารับกลุ่มผู้บำบัดทั้งหมดไปอยู่ที่ค่ายทหารเขาชนไก่ และในเวลาต่อมากระทรวงสาธารณะสุขได้สั่งปิดศูนย์ฟื้นฟูฯ นี้ เพื่อตรวจสอบหาข้อเท็จจริงต่อไป
ขณะที่ชาวเน็ตแสดงความคิดเห็นออกเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มหนึ่งเห็นอกเห็นใจเหยื่อในศูนย์ฟื้นฟูดังกล่าว ขณะที่อีกกลุ่มหนึ่งไม่เชื่อว่า เหยื่อเหล่านี้พูดความจริงทั้งหมด หลังมีผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่งออกมาเผยว่า ผู้ที่เข้ารับการบำบัดก็มีพฤติกรรมที่ไม่น่ารัก
อ่านบทความที่เกี่ยวข้อง: สั่งปิด! ศูนย์ฟื้นฟูฯ ผู้ติดยาเสพติดวัดเมืองกาญจน์ หลังมีผู้อ้างถูกทำร้ายร่างกาย รีดเงินหมื่นถ้าอยากออก
ที่มาข้อมูล ไทยพีบีเอส, ข่าวสดออนไลน์ และผู้จัดการออนไลน์