เรื่องราวโซเชียล
สรุปดราม่า #ไฟเซอร์นักเรียน พุ่งติดเทรนด์ทวิตเตอร์ประเทศไทย
อ่านบทความใหม่ล่าสุดก่อนใคร กดติดตามเราไว้เลย:
ก่อนหน้านี้ กระทรวงสาธารณสุขของไทยก็ต้องปวดหัวกับการเชิญชวนให้ผู้สูงอายุ ที่มีอายุมากกว่า 60 ปี ออกมาฉีดวัคซีนโควิด-19 เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ในสังคม ล่าสุดต้องปวดหัวอีกรอบกับกระแส “นักเรียนไม่ฉีดไฟเซอร์” หลังจากเด็ก ๆ “อยากฉีดแต่วัคซีนไม่พอ” สู่เทรนด์ “ไม่ยอมฉีดไฟเซอร์” เนื่องจากมีการปั่นข่าวลวงให้ข้อมูลเกี่ยวกับผลข้างเคียงของการฉีดวัคซีนไฟเซอร์ จนกลัวว่าถ้าฉีดแล้วอาจเสียชีวิตได้ และยังนำไปสู่การแฉว่าภาครัฐจัดสรรวัคซีนไม่เพียงพอต่อความต้องการ รวมถึงการสวมสิทธิ์คนอื่นไปฉีดวัคซีน
หลายคนอาจงงว่าเรื่องนี้มันเริ่มต้นมีที่มาที่ไปอย่างไร แล้วสรุปว่า “นักเรียนควรฉีดไฟเซอร์” หรือไม่? The Joi เลยรวบรวมข้อมูล แล้วนำมาสรุปย่อให้ฟังสั้น ๆ เข้าใจง่าย เรียงตามลำดับเหตุการณ์ให้ทุกคนตามด้านล่างนี้เลย
ตั้งแต่วันที่ 4 ตุลาคม 2564 ที่ผ่านมา กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เริ่มฉีดวัคซีนไฟเซอร์ให้กับนักเรียน ที่มีอายุระหว่าง 12-18 ปี
โดยสธ. ตั้งเป้าไว้ที่ 5 ล้านราย และมีผู้ปกครองอนุญาตให้บุตรหลานรับการฉีดวัคซีนดังกล่าวกว่า 3.6 ล้านคน คิดเป็น 71 เปอร์เซ็นต์ของจำนวนที่ตั้งไว้ทั้งหมด จะต้องฉีดทั้งหมด 2 เข็ม ห่างกันเข็มละ 3-4 สัปดาห์ ปัจจุบันมีวัคซีนไฟเซอร์อยู่ 2 ล้านโดส ได้กระจายให้ทุกจังหวัด แต่ทว่าแต่ละจังหวัดได้รับวัคซีนจำนวนไม่เท่ากัน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความพร้อมของแต่ละจังหวัดด้วย ส่วนผู้ปกครองที่ไม่อนุญาตให้บุตรหลานรับการฉีดวัคซีนไฟเซอร์ในรอบนี้ ก็สามารถฉีดได้เรื่อย ๆ ไม่มีเสียสิทธิ์แต่อย่างใด
จากปัญหาวัคซีนไม่เพียงพอต่อจำนวนผู้รับ ทำให้หลายโรงเรียนในหลายจังหวัดประสบปัญหาต้องขอคนที่สละสิทธิ์ให้คนอื่นได้ฉีดวัคซีนก่อน
เช่น ที่โรงเรียนแห่งหนึ่งในจังหวัดสกลนครมีแชทหลุดขอให้นักเรียนสละสิทธิ์ เพื่อนำไปฉีดให้คนอื่นก่อน แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่มีใครสละสิทธิ์ เพราะมองว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่สาธารณสุขและโรงเรียนต้องจัดการ และจัดสรรวัคซีนให้เพียงพอต่อจำนวนนักเรียน ไม่ใช่เรื่องที่มาขอความเห็นใจให้นักเรียนต้องถอนตัว หรือบางคนได้ร้องเรียนว่า ตนเองอยู่ชั้นม. ต้น จำเป็นต้องเสียสละให้นักเรียน ม.ปลายฉีดก่อน เพราะว่าวัคซีนที่จัดสรรมาให้นั้นมีไม่เพียงพอ
Fake News บนแอปฯ ติ๊กต็อก (TikTok)
ต่อมาไม่นานก็เกิดเทรนด์ “ไม่อยากฉีดตามเพื่อน” เพราะมีข่าวปลอมบนแอปฯ ติ๊กต็อกเผยเรื่องผลข้างเคียงของวัคซีน เช่น บางคนก่อนไปฉีดวัคซีนต้องดื่มแอลกอฮอล์ไปก่อน เป็นต้น ทำให้บางคนที่มีโรคประจำตัวกลัว และบางคนผู้ปกครองก็ไม่อนุญาตให้ไปฉีดด้วย อย่างไรก็ตาม บนทวิตเตอร์ก็ได้มีหลายคนออกมาตำหนิกลุ่มคนที่ไม่ฉีดตามเทรนด์ติ๊กต็อก ว่าการฉีดวัคซีนไฟเซอร์ในนักเรียนนั้น มีผลการวิจัยออกมารองรับแล้วว่ามีความเสี่ยงต่ำมาก และยิ่งฉีดได้เร็วเท่าไหร่ โรงเรียนก็จะเปิดได้ไวมากขึ้นเท่านั้น
“วัคซีนไฟเซอร์” ทำให้เกิดภาวะกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบและเยื่อหุ้มหัวใจอักเสบจริงตามข่าวลือหรือไม่?
เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2564 “นพ. เศวตสรร” จากกรมควบคุมโรค ได้อธิบายว่า การเกิดภาวะกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบและเยื่อหุ้มหัวใจอักเสบ “เกิดได้ต่ำมาก” แต่หลังจากฉีดอาจจะมีอาการเช่น แน่นหน้าอก เจ็บหน้าอก หอบ เหนื่อยง่าย ใจสั่น หมดสติ ซึ่งหากมีอาการเหล่านี้แนะนำให้รีบมารักษา และงดออกกำลังกายหนัก ๆ ทั้งในวัยรุ่นชายหญิง เพราะจะทำให้หัวใจทำงานเพิ่มขึ้น
ขณะที่เมื่อวันที่ 22 กันยายน 2564 “ราชวิทยาลัยกุมารแพทย์” ให้นักเรียนชายที่แข็งแรง รับวัคซีนไฟเซอร์เข็ม 1 ก่อน และชะลอการฉีดเข็ม 2 จนกว่าจะมีข้อมูลความปลอดภัยเพิ่มเติม ทว่าการฉีดวัคซีนเข็ม 2 ในเด็กกลุ่มนี้ มีความเสี่ยงสูงกว่าเข็มแรกจากกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบซึ่งพบได้น้อยมาก
สรุปแล้ว “นักเรียนอายุ 12-18 ปี ฉีดไฟเซอร์ได้ มีความเสี่ยงต่ำมากที่จะเสียชีวิต”
รู้แบบนี้แล้ว ตอนนี้ทุกคน “อยากฉีด” หรือ “ไม่อยากฉีด” กันล่ะ?
อ่านบทความที่เกี่ยวข้อง : “ทักษิณ” จวก “ไฟเซอร์มีไว้ฉีด ไม่ได้มีไว้อม” ชี้พวกเกาะอำนาจกิน กลัวหมดอาชีพหากพี่โทนี่กลับไทย
อ่านบทความที่เกี่ยวข้อง : บุคลากรด่านหน้าในพิจิตรเสียชีวิตปริศนา หลังฉีดไฟเซอร์บูสเตอร์เข็ม 3 เพียงวันเดียว
ที่มาข้อมูล Kapook, The Tiger และมติชน
อ่านบทความใหม่ล่าสุดก่อนใคร กดติดตามเราไว้เลย:
-
บันเทิง2 days ago
เปิดวาร์ป 4 นางเอก AV ที่มีเชื้อสายของคนจากประเทศอาเซียน (ASEAN) ที่แฟน ๆ การันตีว่าหน้าตาดีแถมลีลาเด็ด!
-
บันเทิง1 day ago
เผย 8 คนดังฮอลลีวูดที่เคยมีรอยสักเต็มตัว ก่อนตัดสินใจปกปิดหรือลบออกจนหมดเกลี้ยงในภายหลัง พร้อมเหตุผล!
-
ข่าวสาร3 days ago
“ยูตะ ยาจิ (Yuta Yaji)” หนุ่มญี่ปุ่นผิวเผือกกลายเป็นไวรัล เพราะดันรูปร่างหน้าตาคล้ายกับ “โกโจ ซาโตรุ (Gojo Satoru)” จากอนิเมะดังเรื่อง “Jujutsu Kaisen”
-
เรื่องราวโซเชียล3 days ago
ชาวเน็ตแห่เอ็นดูหนูน้อยชาวจีนอุ้มแมวหนีแบบไม่คิดชีวิต หลังเกิดแผ่นดินไหวขนาด 4.9