วงการบิตคอยน์ไทยมีข่าวน่ายินดี และเป็นความหวังให้กับธุรกิจและคนในวงการเงินดิจิทัลในประเทศไทย เมื่อ “บริษัท จัสมิน เทเลคอม ซิสเต็มส์ จำกัด (มหาชน) หรือ JTS” ซึ่งเป็นบริษัทในเครือประกาศดำเนินธุรกิจขุดบิตคอยน์ (Bitcoin Mining) ประกาศกร้าวจะเป็น “ศูนย์กลางเหมืองขุดบิตคอยน์ที่ใหญ่ที่สุดในอาเซียน” ภายในปี 2567 เรียกว่าเขย่าวงการการเงินดิจิทัลไทยกันเลยทีเดียว
ประกาศดังกล่าวของบริษัทลงทุนบิตคอยน์ยักษ์ใหญ่ของไทยอย่าง “JAS” มีขึ้นเมื่อวานนี้ (10 สิงหาคม 2564) หลัง “นายสุพจน์ สัญญพิสิทธิ์กุล” รักษาการประธานเจ้าหน้าที่บริหาร “บริษัท จัสมิน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ JAS” บริษัทดำเนินธุรกิจร่วมลงทุนผ่านบริษัทในเครือ แต่เพียงอย่างเดียว ได้ประกาศงบไตรมาสที่ 2 ปี 2564 ว่า มีรายได้จาก บริษัทฯ และบริษัทย่อยเพิ่มขึ้น 318.21 ล้านบาท เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 396.35 ล้านบาท เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ 1 ปี 2564 คิดเป็น 1,157.90 เปอร์เซ็นต์ หลังเข้าดำเนินการซื้อหุ้นใน “บริษัท จัสเทล เน็ทเวิร์ค จำกัด (JASTEL)” ในอัตรา 99.99 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งได้ดำเนินการซื้อหุ้นแล้วเสร็จเมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม 2564 ที่ผ่านมา
ก้าวสู่เบอร์ 1 เหมืองขุดบิตคอยน์ที่ใหญ่สุดในภูมิภาคอาเซียน
“JAS” ยังได้ประกาศเปลี่ยนชื่อบริษัทลงทุนในบิตคอยน์ “JTS” จากเดิมชื่อว่า “บริษัท จัสมิน เทเลคอม ซิสเต็มส์ จำกัด (มหาชน)” เป็น “บริษัท จัสมิน เทคโนโลยี โซลูชั่น จํากัด (มหาชน)” แทน เพื่อให้สอดคล้องกับลักษณะธุรกิจขององค์กรในปัจจุบัน ซึ่งบริษัทได้เสนอเข้าที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทไปแล้วเมื่อวันที่ 9 สิงหาคม 2564 ที่ผ่านมา เพื่อเตรียมเข้าที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นในวันที่ 8 ตุลาคม 2564 และบริษัทยังคงมองหาธุรกิจใหม่ที่จะลงทุนในระยะยาว
ขณะนี้บริษัทฯ ได้ลงทุนเป็นเงินทั้งสิ้น 156.7 ล้านบาท ได้เริ่มทยอยสั่งซื้อเครื่องขุดบิตคอยน์ และจะติดตั้งให้แล้วเสร็จจำนวน 500 เครื่องภายในไตรมาสที่ 3 ปี 2564 ซึ่งทางบริษัทได้ศึกษาเรื่อง Bitcoin มาระยะหนึ่งแล้ว ตอนนี้มองเป็นจังหวะและโอกาสที่ดี บิตคอยน์ที่ขุดได้จะนำมาจำหน่ายบางส่วน และเก็บไว้บางส่วน พร้อมทั้งคาดว่าจะสามารถรับรู้รายได้จากธุรกิจนี้อย่างต่อเนื่อง
“JTS” ยังเตรียมพร้อมขยายเฟสที่ 2 เพื่อเสริมกำลังการขุดอีก 5,000 เครื่อง ในต้นปี 2565 โดยเล็งใช้พื้นที่ของนิคมอุตสาหกรรม ซึ่งอาจใช้ที่นิคมที่เดียวหรือกระจายหลายนิคมอุตสาหกรรมก็ได้ โดยตั้งเป้าขยายกำลังการขุดเป็น 50,000 เครื่อง ก่อน Bitcoin Next Halving ซึ่งคาดว่าจะเกิดขึ้นในช่วงปี 2567 ทำให้บริษัทมีกำลังการขุดรวมมากกว่า 5 Exahash ต่อวินาที หรือคิดเป็นประมาณ 5 เปอร์เซ็นต์ ของกำลังการขุดรวมทั่วโลก และเป็นศูนย์กลางของเหมืองขุดบิตคอยน์ (Bitcoin Mining Farm) ที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หรือภูมิภาคอาเซียน
ส่งเสริมการขุดบิตคอยน์เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
ขณะที่ประเด็นด้านผลกระทบของการขุดบิตคอยน์กับสิ่งแวดล้อม ทาง “JTS” ก็ใส่ใจและให้ความสำคัญกับการขุดบิตคอยน์ แบบไม่ก่อให้เกิดมลภาวะต่อสิ่งแวดล้อม พลังงานหลักที่ใช้ในการขุดบิตคอยน์ คือ พลังงานไฟฟ้า ซึ่งบริษัทฯ ใช้พลังงานไฟฟ้าที่ผลิตจากหน่วยงานของรัฐ ที่ได้รับการรับรองด้านสิ่งแวดล้อมตามมาตรฐาน ISO 14001 โดยขณะนี้ บริษัทฯ อยู่ระหว่างการพิจารณาในการนำพลังงานหมุนเวียน อาทิ พลังงานจากโซลาร์เซลล์ และพลังงานไฟฟ้าที่ผลิตจากก๊าซธรรมชาติ มาใช้ทดแทน ซึ่งจะเป็นการลดต้นทุนและรักษาสิ่งแวดล้อมไปด้วยพร้อมกัน
ที่มาข้อมูล Positioning และกรุงเทพธุรกิจ