เชื่อว่าทุกคนต้องเคยผ่านการถูกเพื่อนๆรังแกในวัยเรียนกันมาแล้วทั้งนั้น หากใครที่ไม่เคยถูกบูลลี่เลย ถือว่าเป็นคนที่โชคดีและน่าอิจฉามากๆ เพราะวัยนั้นมันเหมือนเป็นวัยที่กำลังคึกคะนอง การบูลลี่ในไทย ที่จริงแล้วมีมาแต่เนิ่นนาน แต่ไม่ถูกให้ความสำคัญมากเพียงพอ ทำให้มันยังอยู่คู่กับสังคมมาตลอด โดยเฉพาะในวัยเรียน ซึ่งทุกวันนี้ก็ยังมีการรังแกกันหนักขึ้นทุกวัน และการถูกบูลลี่นั้น ก็ได้สร้างบาดแผลเอาไว้มากมายทั้งมีผลต่อชีวิตและไม่มีผลต่อชีวิต นักเรียนเก่าทั้ง 7 คนนี้ จึงมาเล่าเรื่องประสบการณ์การถูกบูลลี่ในโรงเรียนที่สร้างบาดแผลและสภาพจิตใจที่ย่ำแย่ต่อพวกเขาจนถึงทุกวันนี้
1. ถูกรังแกแต่ไม่เคยบอกแม่เลย
“ตอนม.ต้นเรียนโรงเรียนนานาชาติ ในเครือเซนต์ยอ จำได้เลยว่าแม่เอาไปยัดไว้ในหอพักที่เป็นบ้านพักของครูฝ่ายปกครองคนหนึ่งซึ่งก็มีนักเรียน20กว่าคนที่อยู่ร่วมกันในบ้านพักนี้ โดนสาระพัดครับ ทั้งหลอกให้กินเยี่ยว โดนภรรยาของครูเจ้าของหอด่า สาปส่ง โดนเพื่อนด้วยกันแย่งข้าวกิน เอาเปรียบทุกอย่าง ทุกทาง รู้สึกได้เลยว่าไร้ค่าสุดๆ ไม่ได้คุยกับแม่บ่อยมาก แต่ทุกครั้งที่ได้ยินเสียงแม่คือน้ำตาคลอ ผมอยากบอกแม่เหลือเกินว่าผมโดนรังแก ผมโดนทั้งครู และเพื่อนร่วมหอ ทุกวันนี้ผมผ่านมาได้แล้ว ขอเป็นกำลังใจให้ทุกคนครับ”
2. แม้คนที่บ้านก็ไม่มีใครรับฟัง
“โดนแกล้งเกือบ12ปีแล้วค่ะ เพราะเราขี้โรคป่วยบ่อย ป่วยแต่ละทีมันจะหนักมากๆ ย้ายโรงเรียนก็โดนอีก บอกครอบครัวเขาบอกว่าเราคิดมากไปเองค่ะ เราจากเป็นคนไม่คิดอะไรมากก็เริ่มเครียดค่ะ ทุกวันนี้เริ่มควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้ชอบทำร้ายตัวเอง แต่บอกครอบครัวก็โดนหาว่าบ้าค่ะ เลยไม่คิดจะบอกอะไรพวกเขาอีก เอาจริงกลายเป็นคนเกลียดโรงเรียนไปเลยค่ะ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ คนในบ้านไม่มีใครสักคนที่เข้าใจเราจริงๆเลย พอเราบอกจะลองไปปรึกษาจิตแพทย์เราก็โดนบอกว่าตรรกะป่วยค่ะ ปลงแร้ว 55”
3. ถูกล้อปมด้อย
“โดนล้อปมด้อยในตัวเองจนโต ตอนนี้เป็นโรคซึมเศร้าขั้นรุนแรงมา7ปีแล้ว ปัจจุบันปมด้อยนั้นเหลืออ้วนกับผิวคล้ำแต่ก็ไม่ค่อยมีใครล้อแล้ว ทุกคนนิสัยก็โตขึ้นตามกาลเวลา แต่ก็ขึ้นอยู่กับคนๆนั้นด้วยว่าจะยังอัคติเราอยู่หรือป่าว”
4. ครูไม่ได้ถูกเสมอไป
“ครูล้อว่าอ้วนแล้วให้ทำท่ากราบหรืออะไรไม่รู้แล้วเราทำไม่ได้เพราะเราอ้วนไงเฮ้ออหลังจากนั้นครูเหี้ยๆก็เอาไม้ที่เรียนกระบี่กระบองมาตีจนแขนกับขาจนเป็นรอยช้ำฟ้องร้องอะไรไม่ได้มันหนักจนเป็นโรคซึมเศร้า #ครูไม่ได้ถูกเสมอไป”
5. อยากฆ่าตัวตาย
“คิดแล้วอยากตาย เฮ้อ ตอนนั้นทรมานที่สุดแล้ว ม.3 ถูกแกล้งทุกวัน ยันปาดโต๊ะเรียนเราขาดครึ่ง ฉีดสมุดเราทุกเล่ม ทำให้งานส่งไม่ทัน เกรดตก ถูกล้อทุกครั้งที่เดินผ่าน ถูกเอาข้าวกะเพรา น้ำโค้กมาเทใส่กระเป๋า แทบฆ่าตัวตายจริง พวกคุณต้องได้รับกรรมที่คุณทำไว้”
6. แกล้งจนแพนิค เป็นโรคซึมเศร้าและไบโพล่า
“ตอนเด็กเป็นคนซื่อๆ และ มีโรคประจำเป็นไตติดเชื้อและไม่สามารถควบการปวดฉี่ตอนนอนได้ เพราะต้องฟอกไตตลอด และเราไปอยู่หอ พ่อแม่ก็ฝากฝังไห้ครูที่ดูแลในหอเป็นคนดูแลเรา 1อาทิตย์เราจะฉี่รดที่ 1 ครั้ง บางอาทิตย์ก็ไม่ และกลายเป็นว่าเพื่อนในหอเอาเราไปเล่าไห้เพื่อนในห้องฟังว่าเราฉี่ไส่ผ้า ซึ่งตอนนั้นประมานป.5 ตอนนั้นไม่มีไครเรียกชื่อเราเลยและเราไม่มีไครคบด้วย เพราะเราพึ่งย้ายโรงเรียนไปเป็นเด็กใหม่ แรกก็แค่เริ่มล้อว่าฉี่ไส่ผ้า ซักพักเราไม่ตอบโต้ เค้าเริ่มไส่ไข่ในเรื่องของเราว่าอึด้วยเปล่า อึแน่ๆ เริ่มมีหลายๆเรื่องเข้ามา ล้อเราเป็นตุ๊ด(เมือก่อนไม่รู้ตัวเอง) ล้อว่าเราชอบคนนู้นบ้าง ล้อว่าเราไปแอบโดนรุ่นพี่เอาบ้าง จากนั้นก็เริ่มมีการแกล้ง ทำร้ายร่างกาย โยนกระเป๋าจากชั้น 5 ลงชั้น 1 สาดน้ำหวานไส่ตัวตั้งแต่เช้า รุมกันเขียนเสื้อเรา บางวันก็กลายเป็นที่ระบายของเพื่อนโดยการโดนรุมกระทืบบ้าง เราอยู่ในชีวิตแบบนั้นมาจนก่อนสอบวันสุดท้าย เป็นวันที่เราไม่ไหว เราจับหัวคนนั้นมาอัดกับกระจกห้องเรียนอัดย้ำๆ จนกระจกแตก เลือดอาบตัว และ ครูมาเห็นเราในสภาพนั้น กลายเป็นว่าไม่มีไครเข้าข้างเราเลย แต่เพราะว่ายังเด็กเลยไม่โดนข้ออะไร และเพื่อนตัวนั้นโดนย้ายโรงเรียน และเรากลายเป็นโรคซึมเศร้า หวาดระแหว่งผู้คน แพนิคกับทุกอย่าง และเป็นไบโพล่า ช่วงตอนเราอยู่หอ ครูช่วยอะไรเราไม่ได้เลย บอกได้แค่ว่าไห้เราทน เราฟ้องพ่อกับแม่ไป เค้าก็บอกแค่ว่าเด็กเล่นกัน ชีวิตวัยเด็กเราไม่มีความสุข กว่าเราจะผ่านจุดนั้นมาได้ เราฆ่าตัวตายแต่ไม่ตายหลายรอบมาก เราแค่อยากจะบอกว่า ไครที่โดนแบบเราหรือมากหรือน้อยกว่าก็แล้วแต่ สู้ๆนะครับ ผ่านมันไห้ได้ จงเข้มแข็ง และถ้าสามารถตอบโต้ได้ สามารถพูดได้ ก็พูดออกไปเลย ตอบโต้ไปเลย ก่อนมันสายไป”
7. ครูก็ไม่ช่วยเลย
“ถูกรุมกระทืบกว่า 30 คนทุกวันตั้งแต่ม.1 เคยคิดจะเอามีดมาแทงเพื่อน แต่ทำได้แค่ปากกาแลนเซอร์ 0.5 แทงเข้าท้อง จนพวกมันหยุดไปพักนึง บอกครู ครูก็ไม่ช่วยอะไรเลย”
8. เก็บกดและอับอาย
“ตอนมอ.ต้นเราถูกรุ่นพี่มอ.ปลาย ซึ่งนางเป็นแฟนกับที่คบที่มาชอบเรา สั่งให้เพื่อนในชั้นเรา มารุมตบเรา โดยวันนั้นเป็นเวลาที่โรงเรียนเลิกแล้ว แม่เราจะต้องมารอรับที่หน้าโรงเรียน แต่วันนั้นเพื่อนเราหลอกล่อเราให้ไปด้วยกับนาง สรุปมันเป็นห้องของใครก็ไม่รู้ค่ะ เป็นเหมือนห้องเช่าหน้าโรงเรียนอะค่ะ ปรากฎว่าข้างในนั้นมีเพื่อนๆเราเต็มเลย ประมาณสิบกว่าคนได้ในห้องนั้นอะ โดยมีหลายคนที่ถือกล้องโทรศัพท์เตรียมถ่ายคลิป จากนั้นเราก็ถูกรุมตบค่ะ เราเอามือกันหน้าเราไว้ไม่ให้หน้าเราบาดเจ็บ เราถูกทุบหัว ถูกเตะและกระทืบ จนเสื้อนักเรียนของเราเปื้อนเลยค่ะ จากนั้นพอพวกมันตบเราเสร็จก็ปล่อยเราออกมาจากห้องนั้น พวกมันได้คลิปเราไป แล้วก็ไปส่งต่อกันทั่วโรงเรียน จนใครๆก็มองเราแล้วหัวเราะเพราะเราถูกรุมตบ เราเดินไปขึ้นรถแม่เราแบบนิ่งๆนะ สถาพเสื้อเปื้อน แม่เราถามว่าไปทำอะไรมา เราบอกแค่ว่าเราไปเล่นกับเพื่อนมาแล้วล้ม แม่เราเชื่อคำโกหกของเราค่ะ
หลังจบมอ.สาม แล้วเรามาเรียนต่อมอ.4 ที่โรงเรียนเอกชนแห่งหนึ่ง เราก็เจอมันอีกค่ะ คนที่เคยตบเราในวันนั้น เป็นความบังเอิญมากที่มันเรียนโรงเรียนเดียวกันกับเราอีกครั้ง ชื่อเสียงของมันค่อนข้างดังมากๆ ใครๆก็รู้ว่ามันเป็นมือตบค่ะ ตบมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน แต่เราเป็นคนไม่สู้คนนะคะ เราได้แต่ยอมเพราะกลัวว่าถ้าเราสู้แล้วยิ่งถูกรังแกหนัก วันนั้นเรานั่งสอบอยู่ค่ะ และอาจารย์เดินออกไปข้างนอกพอดี มันมาหาเราถึงห้องเรียนเลยค่ะ กระชากหัวเราคาโต๊ะเรียนแล้วก็ตบเราอีกครั้ง แต่ครั้งนี้เพื่อนๆผู้ชายในห้องของเราช่วยเราไว้ค่ะ เราโชคดีที่มีเพื่อนร่วมห้องดีๆ เรื่องนี้ผ่านมาแล้วหลายสิบปี เรายังจำได้เสมอ และพ่อแม่ของเราก็ไม่เคยรู้เรื่องนี้ และทุกวันนี้เราก็ยังคุยกับคนที่ตบเราในวันนั้นอยู่ค่ะ เราอโหสิกรรมให้เขาค่ะ โชคดีที่ความทรงจำในวัยเด็กนั้นไม่ได้มีผลอะไรกับสภาพจิตใจของเราในทุกวันนี้”
การบูลลี่นั้น ควรหมดไปและเราทุกคนควรหันมาให้ความสำคัญในเรื่องนี้ เพราะคนที่ถูกรังแก การที่เขาไม่ตอบโต้ก็ไม่ได้แปลว่าเขาจะไม่รู้สึกอะไรด้วยนะ
อ่านบทความใหม่ล่าสุดก่อนใคร กดติดตามเราไว้เลย: