ย้อนไปวัยเรียน ช่วงวัยนั้นเป็นช่วงวัยที่พ่อแม่จะเข้มงวดต่อเรามากๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือเรื่องเรียน เพราะแน่นอนว่าวันนี้จำเป็นต้องโฟกัสไปที่เรื่องเรียนเพียงอย่างเดียว และเชื่อว่าทุกคนคงจะต้องเคยทำผิดต่อพ่อแม่ แอบโกหกอยู่บ่อยๆ ทั้งตั้งใจและไม่ได้ตั้งใจบ้างก็เพื่อที่จะได้ใช้พื้นที่ส่วนตัว ไม่ต้องการใครพ่อแม่เข้ามาก้าวก่ายพื้นที่ส่วนตัวของเรา บ้างก็อาจจะเคยโกหกเพื่อหลักเลี่ยงจากการถูกพ่อแม่ควบคุม และเชื่อว่าหลายๆคนต้องเคยโกหกด้วย 10 คำเหล่านี้
1. “หนู/ผม เข้าเรียนตลอดทุกคาบแหละ”
แต่จริงๆแล้ว แอบโดดเรียนไปนั่งกินหนมนั่งเม้าส์มอยกับเพื่อนต่างหากล่ะ แถมยังบอกให้เพื่อนในห้องช่วยเช็คชื่อให้อีกด้วยนะ แต่สุดท้ายเมื่อถึงวันที่ประกาศผลการเรียนทั้งหมดนั้น วันนั้นจะเป็นวันที่คุณเสียใจ รู้งี้เข้าเรียนให้ครบซะก็ดี คะแนนคงจะมากกว่านี้
2. “ไม่ หนู/ผม ไม่มีเวลาไปคุยกับใครหรอก หนู/ผมโสด”
หนูไม่มีแฟน ยังโสดอยู่นะ คำนี้ใช้บอกพ่อแม่ทุกครั้งเมื่อพวกเขาบังเอิญไปเห็นภาพถ่ายหรือเห็นเราเดินกับใครสักคน เราทุกคนก็ไม่อยากจะอธิบายให้พวกเขาฟังเท่าไร เพราะในวัยนั้นเอาจริงๆ เหมือนแค่ต้องการพื้นที่ส่วนตัวก็เท่านั้นเอง ดังนั้นเราก้มักจะใช้คำสากลว่า “นั่นแค่เพื่อน” ซึ่งจริงๆแล้วนั่นคือแฟนเราเอง ฮ่าๆ
ถ้าถามว่าในวัยมหาลัย มีแฟนได้มั้ย? จริงๆแล้วมีแฟนได้ ไม่มีปัญหาอะไร ถ้าตราบใดที่พากันไปในทิศทางที่ดี รู้จักหน้าที่กันและกัน พากันส่งเสริมในเรื่องเรียนได้ ไม่เหลวไหล แบบนี้พ่อแม่ก็โอเคทั้งนั้นแหละจ้า
3. จะกลับบ้านก่อน 4 ทุ่ม
เป้นเรื่องปกติที่พ่อแม่มักจะเป็นห่วงและกังวล และแน่นอนบางบ้านเข้มงวดเรื่องออกไปเที่ยวนอกบ้านมากๆ เพราะพวกเขาเป็นห่วง จึงสร้างเวลาเคอฟืวส์สำหรับเรามาให้ คือต้องกลับก่อนเวลานั้นๆที่พ่อแม่กำหนดไว้ หากเลยเวลาก็อาจจะมีการลงโทษด้วยการหักเงินค่าขนม อย่างไรก็ตาม เวลาเคอฟิวส์มันช่างเป็นช่วงเวลาที่ตัดเวลาแห่งความสุขของพวกเรายิ่งนัก คือกำลังเพลินๆกับเพื่อนๆเลย
สายแม่โทรเข้า….. “ฮัลโหลแม่ กำลังจะกลับแล้วเนี่ย แต่รอคิวโรตีอยู่เลย คิวยาวมากๆ” ซึ่งจริงๆแล้วคุณยังไม่ทันขยับตัวออกจากบ้านเพื่อนเลยด็วยซ้ำ ฮ่าๆ อย่าเอาโรตีมาอ้างดีกว่า และพอดูนาฬิกาอีกที ก็ปาไปเที่ยงคืนแล้ว และสิ่งที่คุณจะต้องเผชิญคือพ่อของคุณที่กำลังนั่งถือไม้รอที่หน้าทีวี ตายแน่!!!
4. “หนู/ผม ยังไม่ได้รับผลการเรียนเลย ยังไม่ออกเลย”
เชื่อว่าต้องเคยพูดแบบนี้กับพ่อแม่เมื่อถูกพวกเขาถาม และขอดูผลการเรียนของคุณกันบ้างแหละ แม้ว่าในที่สุดคุณก็จะต้องแจ้งเกรดเฉลี่ยของคุณในที่สุด แต่คุณก็ยังหวังว่าการโกหกนี้จะสามารถทำให้พ่อแม่ของคุณลืมมันได้ในชั่วครู่ และหันไปโฟกัสถามใบเกรดกับพี่หรือน้องของคุณแทน ฮ่าๆ ร้ายมั้ยล่ะ
5. “แบตฯมือถือหนูหมด เลยโทรกลับไม่ได้”
ในยุคปัจจุบันนี้ข้ออ้างนี้บอกเลยว่ามันใช้ไม่ได้ผลไปซะแล้ว เพราะเขามีแบตสำรอง และมือถือรุ่นใหม่ๆก็ทนทานกว่ายุคสมัยก่อนๆซะอีก สำหรับวัยรุ่นยุคก่อนๆนั้น อย่าบอกนะว่าไม่เคยโกหกพ่อแม่แบบนี่้? ฮ่าๆๆ พนันเลยว่าทุกคนต้องเคยทั้งนั้น ก่อนอื่นเราต้องยอมรับก่อนเลยว่าบางครั้งการโกหกพ่อแม่ในเรื่องบางเรื่องมันก็ยังง่ายซะยิ่งกว่าการบอกความจริงต่อพวกท่านซะอีกนะ แต่ก็ควรจำไว้ด้วยว่า การที่พวกเขาตามจู้จี้ตามบ่นนั่นก็เพราะว่าพวกเขาใส่ใจต่อเรายังไงล่ะ
เราทุกคนต่างก็รู้ดีกันว่าการที่พ่อแม่ต้องเข้มงวดกับเรามากๆในวัยเรียนนั้นเป้นเพราะว่าพวกเขาเป็นห่วง เป็นกังวล ห่วงสุขภาพและความปลอดภัยของเรานั่นเอง (เราควรมีความสุขนะ ที่พวกเขาเป็นแบบนี้) ดังนั้น แทนที่จะหลีกเลี่ยงคำถามจากพวกเขาแล้วหันมาปรับตัวเอง ให้เป็นคนที่ซื่อสัตย์ หัดพูดความจริงมันจะดีกว่านะคะ จำไว้ว่าวันนั้นถ้าคุณมีลูกของคุณเอง คุณก็จะรู้ว่าทำไมพ่อแม่ถึงต้องตามจู้จี้เรา