ตอนนี้ใคร ๆ ก็พูดถึง “เมตาเวอร์ส (Metaverse)” หลังจาก “มาร์ค ซัคเกอร์เบิร์ก (Mark Zuckerberg)” ซีอีโอของ “เฟซบุ๊ก (Facebook)” ได้ประกาศเปลี่ยนชื่อบริษัทเป็น “เมตา (Meta)” เพื่อส่งเสริมเทคโนโลยีความเป็นจริงเสมือน หรือ Virtual Reality แห่งอนาคต ภายใต้คอนเซปต์ที่เรียกว่า “Metaverse” ซึ่งสำหรับเฟซบุ๊กก็คือ “ชุมชนโลกเสมือนจริง”
ก่อนจะไปรู้จักแบรนด์สินค้าที่เปิดตัวของขายในโลกเสมือนจริงตามชื่อเรื่องบทความนี้ ไปทำความเข้าใจกันก่อนว่า “Metaverse” นั้นคืออะไร? แบบย่อกันก่อน เจ้า “Metaverse” ที่ตอนนี้ทุกคนกำลังฮิตพูดถึงกัน ทั้งที่รู้จริงหรือไม่รู้หรอก แต่ขออินเทรนด์ซะหน่อย พูดง่าย ๆ ก็คือ “โลกเสมือนจริงแบบ 3D” ที่ผสานสภาพแวดล้อมและวัตถุรอบตัวมาไว้บนโลกอินเทอร์เน็ต ซึ่งผู้ใช้งานสามารถเข้าไปทำกิจกรรมต่าง ๆ ได้ราวกับอยู่ในโลกแห่งความเป็นจริง แต่ผ่านตัวละครสมมุติ (Avatar) แทนนั่นเอง
เช่น นึกอยากจะช้อปรองเท้า ต่อไปก็ไม่ต้องกดแอปฯ ร้านรองเท้ายี่ห้อนั้น ๆ อีกต่อไป แค่เข้ามาใน “Metaverse” ก็มีรองเท้าทุกแบบ ทุกไซส์ให้คุณเลือกซื้อผ่านตัวละครสมมุติแล้ว แถมคุณอาจจะได้ของอย่างอื่นติดไม่ติดมือเพิ่มด้วย เพราะบนโลกเสมือนจริงดังกล่าว จะมีร้านค้าอื่น ๆ ให้เลือกชมอีกด้วย
ว่าไปแล้ว “Metaverse” ก็ดีไม่ใช่น้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับผู้บกพร่องทางร่างกาย หรือผู้พิการ ต่อไปทุกคนคงอยากรู้ว่า แล้วมีแบรนด์สินค้าใดบ้างเล่า? ที่จะเข้ามาขายของบนโลกสมมุตินี้บ้าง ก่อนหน้านี้มีแบรนด์สินค้าอย่าง “ไนกี้ (Nike)” หรือแม้กระทั่ง “ดิสนีย์ (Disney)” ก็มีแผนจะโดดเข้ามาจอยในโลกเสมือนจริงนี้ด้วย แถมเขายังบอกว่า ในอนาคตทุกคนอาจมีเพื่อนเป็น “มิคกี้ เมาส์ (Mickey Mouse)” ด้วย!
แต่ปัจจุบันมีแบรนด์สินค้าทั้งหมด 5 แบรนด์ด้วยกัน ที่ได้ปล่อยสินค้าขายบน “Metaverse” อย่างเป็นทางการแล้ว โดยมาในรูปแบบของ NFT (Non-Fungible Token) ซึ่งเป็นสินทรัพย์ดิจิทัลประเภทหนึ่ง ที่มีลกัษณะพิเศษกว่าสินทรัพย์ที่ซื้อ-ขอยทั่วไปตรงที่ “มีลักษณะเฉพาะตัว ไม่สามารถทดแทนกันได้” โดยชิงขายก่อน ไม่รอโลกเสมือนของเฟซบุ๊กละนะ!
1. D&G
เมื่อต้นเดือนตุลาคม 2564 ที่ผ่านมา “D&G (Dolce & Gabbana)” หลังจากมีกระแสดราม่าในโลกตะวันตกว่าเป็นแบรนด์ที่เลือกปฏิบัติ แต่เพียงไม่นาน แบรนด์สินค้านี้ก็สามารถกลับมาสร้างเสียงฮือฮากลบข่าวฉาวได้อยู่หมัด ด้วยการออกเสื้อผ้าแฟชั่นในคอลเลกชันชื่อว่า “Collezione Genesi” หรือ “Genesis Collection” ซึ่งเป็นคอลเลกชันแรกที่มี NFT หรือโทเคนดิจิทัล ที่ไม่ซื้อเปลี่ยนได้ (ก็มันเป็นโทเคนนี่นา) แต่สามารถแลกเปลี่ยนซื้อ-ขายได้ และได้มีการจัดประมูลโทเคนสุดพิเสาจาก “D&G” นี้ไปแล้วเมื่อปลายเดือนกันยายน 2564 ที่ผ่านมา โดยมีผู้ประมูลไปในราคาประมาณ 5.65 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เมื่อซื้อแล้วก็ไม่ต้องห่วงว่าจะไม่สามารถเอาไปใช้ หรือเก็บได้อย่างปลอดภัย เพราะได้ตลาดไฮโซ “UNXD” ซึ่งเชื่อมต่อกับแพลตฟอร์ม “Polygon” ในการสร้างโทเคนดังกล่าว และเชื่อมต่อกับบล็อกเชน
เหตุใดเหตุการณ์นี้จึงสำคัญ?
นี่เป็นครั้งแรกที่ “D&G” ซึ่งเป็นแบรนด์แฟชั่นสุดหรูมี NFT ในขณะที่แบรนด์สินค้าแฟชั่นอื่น ๆ เห็นแล้วก็กำลังทำตาม เพื่อตีตลาดแข่ง แต่ต้องยอมรับว่า “D&G” แม้จะไม่มีภาพลักษณ์ที่ดีนัก แต่แบรนด์สินค้านี้กลับเป็นแบรนด์แฟชั่นแรกที่ตีตลาดเงินดิจิทัล และไม่ได้ทำให้แบรนด์อื่นรู้สึกขยาด หรือไม่กล้าลงมาเล่นอะไรที่แปลกใหม่นี้
2. Rebecca Minkoff
เพื่อให้สินค้าของแบรนด์ “รีเบคก้า มินคอฟฟ์ (Rebecca Minkoff)” สอดคล้องกับคอลเลกชั่น “I Love New York” ของแบรนด์ที่แสดงใน New York Fashion Week ในฤดูกาลล่าสุด “Rebecca Minkoff” ได้ทำงานร่วมกับตลาดดิจิทัล “The Dematerialized” และ “Yahoo” เพื่อผลิตเสื้อผ้าดิจิทัลจำนวน 400 ชิ้น และที่พีคไปกว่าการที่แบรนด์สินค้าแฟชั่นชื่อดังจากนครนิวยอร์กนี้โดดเข้ามาร่วมวง “Metaverse” คือ เสื้อผ้าดิจิทัลทั้งหมดที่ผลิตออกมายังขายเกลี้ยงอีกด้วย! ในการประมูลที่ OpenSea ซึ่งเป็นตลาดแบบ peer-to-peer ภายในระยะเวลาเพียง 10 นาทีเท่านั้น และแน่นอนว่าเสื้อผ้าทั้งหมดเป็น NFT รวมถึงภาพถ่ายนางแบบ 10 ภาพ ในชุดของแบรนด์นี้ และเสื้อผ้าดิจิทัลอีก 5 ชุด สร้างขึ้นโดยแบรนด์สินค้านี้กับ “Yahoo”
เหตุใดเหตุการณ์นี้จึงสำคัญ?
นี่เป็นการแสดงแนวทางที่แตกต่างในการสร้างคอลเล็กชันดิจิทัลผ่านสื่อที่ซื้อโดย “Yahoo” ซึ่งเป็นความร่วมมือ NFT ครั้งแรกของพวกเขา คอลเลกชัน NFT “Rebecca Minkoff” เป็นที่รู้จักจากการทำงานร่วมกับแพลตฟอร์มทางเลือก เช่น “Clubhouse” และ “Only Fans” และที่สำคัญที่สุดคือ คอลเลกชันเสื้อผ้าดิจิทัลนี้ เงินทั้งหมดจะถูกนำไปบริจาค
3. Balenciaga
แทนที่แบรนด์สินค้าแฟชั่นไฮโซอย่าง “บาเลนซิเอกา (Balenciaga)” จะทำ NFT ออกมาเหมือนแบรนด์สินค้าแฟชั่นอื่น ๆ กลับเลือกที่จะทำอะไรฉีก ๆ ออกไป ด้วยการร่วมมือกันระหว่าง “Balenciaga x Fortnite” นำสินค้าของแบรนด์หรูนี้เข้าสู่เกมที่สมจริงอย่าง “Fortnite” แน่นอนว่าเสื้อผ้าดิจิทัลเหล่านี้ล้วนเป็นสินค้ารุ่น Limited Edition ยิ่งทำให้มูลค่าของเสื้อผ้าแต่ละชิ้นมีราคาแพงมากขึ้นกว่าปกติไปอีก! คอเกมส์ “Fornite” สามารถเลือกซื้อชุดแบรนด์สินค้านี้ได้ในเซิร์ฟ “Afterworld: The Age of Tomorrow“ ซึ่งสร้างขึ้นโดยใช้ Unreal Engine
เหตุใดเหตุการณ์นี้จึงสำคัญ?
“Balenciaga” ได้นำรูปแบบการนำเสนอสินค้าแฟชั่นแบบใหม่ ๆ และตีตลาดที่ไม่มีใครคิดว่าจะสนใจเรื่องแฟชั่นอย่าง ตลาดเกมออนไลน์ แม้ว่านี่จะไม่ใช่การสร้างคอลเลกชัน NFT ของตัวเอง หรือนำเสนอแบรนด์อย่างยิ่งใหญ่สู่ “Metaverse” แต่การเคลื่อนไหวนี้ ก็บอกได้ว่า อุตสาหกรรมแฟชั่นหรูเองก็กำลังมุ่งหน้าสู่ดิจิทัล
4. Charli Cohen
เพื่อเฉลิมฉลองครบรอบ 25 ปีของ “โปเกมอน (Pokemon)” แบรนด์เสื้อผ้า “ชาร์ลี โคเฮน (Charli Cohen)” ได้เปิดประสบการณ์การช้อปปิ้งดิจิทัล บนเว็บของ “Selfridges” ห้างสรรพสินค้าระดับไฮเอนด์ของอังกฤษ โดยสามารถทำการซื้อเสื้อผ้าได้ผ่านทางเบราว์เซอร์เว็บไซต์และบนมือถือ ในขณะที่ป๊อปอัปในร้านค้าอนุญาตให้ผู้ซื้อใช้ AR เพื่อเดินไปรอบ ๆ ร้านและมองหาเสื้อผ้าที่โดนใจที่สุดได้ด้วย งานนี้ก็ต้องขอบคุณผู้พัฒนาอย่าง “Yahoo Ryot Lab” สำหรับคอลเลกชันเสื้อผ้าที่ปล่อยออกมาของแบรนด์สินค้า ชื่อว่า “Electric City” และ “Kaleidodrip” สะท้อนสภาพแวดล้อมที่คล้ายคลึงกับภาพยนตร์โปเกมอนภาคล่าสุด
เหตุใดเหตุการณ์นี้จึงสำคัญ?
“Selfridges” เป็นหนึ่งในห้างสรรพสินค้าเก่าแก่ที่โดดเข้ามาจับเทคโนโลยี AR เพื่อสร้างประสบการณ์ช้อปปิ้งที่น่าประทับใจยิ่งขึ้นให้กับเหล่าขาช้อปทั้งหลายแถมยังช่วยให้ห้างดังกล่าว สามารถจับกลุ่มลุกค้าได้หลากหลายมากขึ้นด้วย เช่น แฟน ๆ โปเกมอน เช่นเดียวกับแบรนด์เสื้อผ้า “Charli Cohen” ที่ได้ประโยชน์จากตรงนี้เช่นเดียวกัน
5. Clinique
“คลินิคก์ (Clinique)” เป็นแบรนด์สินค้าอีกตัวหนึ่งที่ได้เปิดตัว NFT ของตัวเองครั้งอรกเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมานี้เอง โดยจัดแคมเปญที่สร้างการมีส่วนร่วมของผู้ใช้ผลิตภัณฑ์กับแบรนด์ผ่านทางโซเชียลมีเดีย ผู้ที่สามารถชนะรางวัลที่หนึ่งจะได้ NFT ไปครอง ซึ่ง NFT นี้ได้รับแรงบันดาลใจจากผลิตภัณฑ์ที่โดดเด่นที่สุดของแบรนด์ ได้แก่ “Black Honey” และ “Moisture Surge” นอกจากนี้ ยังให้ผู้ชนะได้สิทธิ์ซื้อลิปสติก “Black Honey” ก่อนใครเพื่อนอีกด้วย แคมเปญนี้มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่การทำให้กลุ่มเป้าหมายของแบรนด์สินค้านำชื่อแบรนด์ไปพูดถึงบนแพลตฟอร์มออนไลน์ต่าง ๆ โดยที่ “Clinique” ไม่ต้องลงแรงมาก
เหตุใดเหตุการณ์นี้จึงสำคัญ?
แบรนด์สินค้านี้เป็นหนึ่งในไม่กี่แบรนด์ที่ได้รับความนิยมบนโซเชียลมีเดีย และสามารถสร้างยอดติดตาม การเข้าถึง กดไลก์และแชร์ได้แบบธรรมชาติ ไม่ต้องเสียเงินมากก็ดังได้ โดยใช้การแข่งขัน เพื่อชิงรางวัลในการสร้างการติดตามแบบออร์แกนิกในทุกแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย นี่เป็นการเคลื่อนไหวที่ชาญฉลาด ที่สำคัญ “Clinique” ยังเป็นแบรนด์แรกในกลุ่มบริษัท “Estee Lauder” ที่เปิดตัว NFT ซึ่งสะท้อนถึงความมุ่งมั่นของบริษัทชั้นนำที่ให้ความสำคัญกับด้านเทคโนโลยีบล็อกเชน และความปรารถนาที่จะตอบสนองผู้บริโภคในยุคปัจจุบันที่ชื่นชอบเทคโนโลยี
อ่านบทความที่เกี่ยวข้อง: เฉลยแล้ว! มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก ประกาศเปลี่ยนชื่อบริษัท จาก “Facebook” เป็น “Meta”
อ่านบทความที่เกี่ยวข้อง: ส่อง 5 สตาร์ทอัพมาแรงคาดเป็นยูนิคอร์นลำดับต่อไปของไทย
อ่านบทความที่เกี่ยวข้อง: 10 อินฟลูเอนเซอร์ดังบนโลกออนไลน์ที่คุณอาจไม่เคยรู้ว่า พวกเขาคือ “กราฟิก CG” ?!
ที่มาข้อมูล Glossy