นาทีนี้ไม่มีใครไม่รู้จักชื่อของ “เจฟฟรีย์ ดาห์เมอร์ (Jeffrey Dahmer)” หรือที่หลายคนเรียกเขาว่า “นักฆ่ามือสว่านเจาะกะโหลก” ฆาตกรรักร่วมเพศสุดอำมหิตที่พรากชีวิตผู้บริสุทธิ์ไปทั้งหมด 17 คน ด้วยวิธีการอันน่าสยดสยอง เรื่องราวของเขาได้ถูกนำมาถ่ายทอดผ่านซีรีส์สารคดีสร้างจากเรื่องจริงโดย Netflix อีกครั้ง (เมื่อปี 2560 มีผู้สร้างหนังเกี่ยวกับเขาในชื่อว่า “My Friend Dahmer เพื่อนผมเป็นฆาตกรต่อเนื่อง”)
นำแสดงโดย “อีวาน ปีเตอร์ส (Evan Peters)” หรือที่หลายคนจำเขาได้ในบท “Quicksilver” จากหนังเรื่อง “X-Men” รับบทเป็น “เจฟฟรีย์ ดาห์เมอร์” ตีแผ่ชีวิตและความสัมพันธ์ระหว่างเขากับคนรอบตัวตั้งแต่เด็กจนโต โดยดำเนินเรื่องราวผ่านสายตาของเหยื่อ ซึ่งเพื่อน ๆ จะได้เห็นปัญหาในอดีตมากมาย เช่น ปัญหาอภิสิทธิ์ของคนขาว, การเหยียดสีผิวและเชื้อชาติ และความล้มเหลวของสถาบันตำรวจที่ปล่อยตัวให้ฆาตกรต่อเนื่องสุดอำมหิตสามารถลงมือก่อเหตุมานานกว่า 10 ปี!
สำหรับบทความนี้ The Joi จะไม่พาเพื่อน ๆ ไปอ่านรีวิวซีรีส์สารคดีที่กำลังได้รับความสนใจจากคนทั่วโลกอย่างมาก ณ เวลานี้หรอกนะ แต่จะพาทุกคนไปส่อง “10 เรื่องจริงขนหัวลุกที่ทุกคนควรรู้ของ Monster The Jeffrey Dahmer Story (ปิศาจ เจฟฟรี่ย์ ดาห์เมอร์)” ที่ได้รู้แล้วอาจไม่อยากรู้จักหรือเคยได้ยินชื่อคน ๆ นี้อีกเลยก็ได้…
เรื่องจริงที่ 1 พ่อผู้เป็นแรงบันดาลใจของเขาเป็นผู้สอนให้รู้จัก “วิธีถนอมกระดูก”
คนทุกคนย่อมมีบุคคลผู้เป็นแรงบันดาลใจในการดำเนินชีวิตหรือเจริญรอยตาม “เจฟฟรีย์ ดาห์เมอร์” เองก็เช่นกัน เขาเกิดเมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม 2479 จากความรักของคุณพ่อ “ลิโอเนล ดาห์เมอร์ (Lionel Dahmer)” กับคุณแม่ “จอยซ์ ดาห์เมอร์ (Joyce Dahmer)” พ่อของเขาเป็นนักเคมีมากความสามารถและดำรงตำแหน่ง “นักเคมีวิจัยอาวุโส” ในบริษัท “PPG Industries” ซึ่งตั้งอยู่ในรัฐโอไฮโอของสหรัฐฯ และไต่เต้าขึ้นเป็น “ที่ปรึกษาของแผนกเคมีวิเคราะห์” ของบริษัทเดิม
สาเหตุที่ The Joi ต้องบอกเล่าเบื้องลึกเบื้องหลังเกี่ยวกับพ่อของฆาตกรต่อเนื่องชื่อดัง นั่นก็เพราะว่า เขาคือคนที่สอนให้ “เจฟฟรีย์ ดาห์เมอร์” รู้จักวิธีสต๊าฟสัตว์ต่าง ๆ ที่ตายแล้ว รวมทั้งการถนอมกระดูกด้วย ซึ่งเขาได้แสดงตัวอย่าง “ปฏิกิริยาทางเคมีต่อร่างกายสิ่งมีชีวิตหลังตายไปแล้ว” ด้วยการเจาะกะโหลกกบ แล้วทดลองเทสารเหลวต่าง ๆ เข้าไปในกะโหลกของกบ เพื่อให้ “เจฟฟรีย์ ดาห์เมอร์” ที่ยืนเรียนรู้อย่างตั้งใจเห็นว่า แม่สมองของสิ่งมีชีวิตจะเสียหายเกือบทั้งหมด แต่มีสมองส่วนหนึ่งอันน้อยนิดที่ยังคงทำให้สัตว์มีชีวิตแต่เป็นเจ้าชายนิทรา หรือภาษาแพทย์ก็คือ “สภาพเป็นพัก” นั่นเอง
จากเรื่องนี้ เพื่อน ๆ คงนึกออกแล้วใช่มั้ยว่า วิธีการฆาตกรรมเหยื่ออันโหดร้ายทารุณส่วนหนึ่งก็มาจากการเรียนแล้วจดจำจากพ่อของเขา และที่น่าตกใจไปกว่านั้น “ลิโอเนล ดาห์เมอร์” ได้เผยในหนังสืออัตชีวประวัติของเขาด้วยว่า ตัวเขาเองก็เคยมีความฝันสุดระห่ำแบบ “เจฟฟรีย์ ดาห์เมอร์” แต่เขาไม่ทำตามสัญชาตญาณดิบแบบลูกชาย ทำให้เขายังคงเป็นมนุษย์มนาปกติคนหนึ่ง
และต้องกราบหัวใจความเป็นพ่อของ “ลิโอเนล ดาห์เมอร์” อย่างยิ่ง เพราะไม่ว่าลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของเขาจะเป็นเช่นไร เขาก็ยังรักและเป็นห่วงลูกสุดหัวใจและคอยอยู่เคียงข้าง “เจฟฟรีย์ ดาห์เมอร์” จนถึงวาระสุดท้ายของชีวิต คือวันที่ 28 พฤศจิกายน 2537 สาเหตุการเสียชีวิตคือ ถูกเพื่อนร่วมห้องขังฆ่าตายด้วยการใช้ท่อนกระบองตีที่หัว ทำให้กะโหลกศีรษะและสมองบาดเจ็บอย่างรุนแรง
การเสียชีวิตของ “เจฟฟรีย์ ดาห์เมอร์” ในเรือนจำ ทำให้หลายคนสันนิษฐานว่า ผู้คุมเรือนจำจงใจให้นักโทษอีกคน คือ “คริสโตเฟอร์ สคาร์เวอร์ (Christopher Scarver)” ชายผิวสีเข้าไปอยู่ในห้องเดียวกับฆาตกรต่อ และวางอาวุธกระบองไว้อย่างมีนัยยะ ขณะเดียวกันชายผิวสีคนดังกล่าวก็เชื่อว่า พระเจ้าส่งเขาให้มากำจัด “มนุษย์กินคนแห่งมิลวอกี”
เรื่องจริงที่ 2 เริ่มสังหารเหยื่อรายแรกตอนอายุ 18 และทำให้จินตนาการของเขากลายเป็นความจริง
ในช่วงวัยเด็ก “เจฟฟรีย์ ดาห์เมอร์” ต้องเผชิญปัญหาครอบครัว พ่อของเขาติดแอลกอฮอล์และมักทะเลาะกับแม่ และเขามักถูกทิ้งให้อยู่บ้านเพียงลำพังเสมอ และในช่วงที่อยู่ตัวคนเดียวเขาก็มักจะเหม่อลอย และก่อนที่เขาจะถึงวัยที่สามารถดื่มแอลกอฮอล์ได้อย่างถูกกฎหมาย (21 ปี) “เจฟฟรีย์ ดาห์เมอร์” ก็ลงมือสังหารเหยื่อรายแรกตอนอายุเพียง 18 ปีเท่านั้น (ส่วนใหญ่ผู้ก่อเหตุฆาตกรรมจะลงมือสังหารเหยื่อรายแรกประมาณอายุ 29 ปี)
เหยื่อรายแรกของเขาชื่อว่า “สตีเฟน ฮิคส์ (Steven Hicks)” ที่บ้านของเขา หลังชายหนุ่มรูปงามคนดังกล่าวพยายามจากเขาไป “เจฟฟรีย์ ดาห์เมอร์” ไม่รอช้าคว้าดัมเบลยกน้ำหนักทุบหัวของคู่ขาที่ลากกลับบ้าน และเขาคนนี้นี่แหละที่คือ คนสำคัญที่ทำให้ชายที่ชื่อ “เจฟฟรีย์ ดาห์เมอร์” มีแรงจูงใจในการฆ่าคน
เรื่องจริงที่ 3 เป็นแพทย์ทหารในกองทัพสหรัฐฯ
“เจฟฟรีย์ ดาห์เมอร์” ดร็อปเรียนมหาวิทยาลัยรัฐโอไฮโอของสหรัฐฯ แล้วเข้าร่วมกองทัพสหรัฐฯ ตามคำแนะนำของพ่อ ในระหว่างเข้าร่วมนี้เอง เขาได้ฝึกฝนเป็น “แพทย์ทหาร” หรือ “หมอทหาร” โดยรับใช้กองทัพในตำแหน่งดังกล่าวตั้งแต่ปี 2522-2524 โดยเป็นสมาชิกกองพันที่ 2 กรมยานเกราะที่ 68 กองทหารราบที่ 8 หลังถูกปลดประจำการอย่างมีเกียรติ แต่ก็มีข่าวออกมาว่า การที่เขาโดนปลดเป็นเพราะไปล่วงละเพศคนอื่น เมื่อตรวจสอบภายหลังก็พบว่า “มีมูล”
เรื่องจริงที่ 4 เป็นคนติดเหล้า
“เจฟฟรีย์ ดาห์เมอร์” เป็นผู้ติดสุราเรื้อรังอย่างหนักตั้งแต่อายุยังน้อย เพื่อน ๆ ร่วมชั้นเรียนเผยว่า เขามักจะมาเข้าชั้นเรียนในสภาพเมามาย แอบเอาเหล้ามาดื่มในห้อง หรือแม้แต่ในล็อกเกอร์ของเขา ก็มีขวดเหล้าพร้อมเปิดให้ดื่มกินได้ตลอดทั้งวันไม่มีขาด ผลจากการติดเหล้านี้เองก็ทำให้เขาเมาแล้วใช้ความรุนแรงกับคนรอบตัว และนี่ก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เขาถูกปลดออกจากกองทัพสหรัฐฯ นอกเหนือจากการล่วงละเมิดทางเพศผู้อื่น
แม้ว่า “เจฟฟรีย์ ดาห์เมอร์” จะเข้าโปรแกรมบำบัดเหล้า แต่มันก็ไม่ได้ผล เขายังคงติดแอลกอฮอล์งอมแงม อีกทั้ง ในการสังหารเหยื่อรายต่อ ๆ มา เขาก็มักจะมอมตัวเองให้เมาก่อนฆ่าทุกครั้ง เพื่อขจัดความไม่ชอบใจในการลงมืออย่างทารุณกับเหยื่อ
เรื่องจริงที่ 5 เคยทำงานในโรงงานช็อคโกแลต
เพื่อน ๆ อ่านไม่ผิดจ้า “เจฟฟรีย์ ดาห์เมอร์” เคยทำงานในโรงงานช็อคโกแลต สถานที่ทำงานที่หลายคนใฝ่ฝันอยากทำในวัยเด็ก เขาเริ่มงานดังกล่าว หลังจากถูกปลดออกจากกองทัพสหรัฐฯ ในปี 2528 งานของเขาจำเจ เพราะทำงานเป็นกะ เข้างาน 23:00 น. และเลิกงานตอน 07:00 น. สัปดาห์ละ 6 วัน ฆาตกรต่อเนื่องรายนี้ทำงานอยู่ที่นานติดต่อกัน 6 ปีเชียวล่ะ แต่สุดท้ายก็ถูกไล่ออก เพราะไม่มาทำงานเข้ากะบ่อย ๆ
เรื่องจริงที่ 6 พยายามเปลี่ยนเหยื่อให้เป็น “ซอมบี้”
“เจฟฟรีย์ ดาห์เมอร์” ฆาตกรรมเหยื่อได้น่าสยดสยอง หลายคนกล่าวหาเขาว่า เป็นพวก “ซาดิสม์” แต่จริง ๆ แล้ว… ไม่ใช่ เพราะผู้ที่เป็นซาดิสม์จะมีความสุขบนความทุกข์หรือจากการทรมานเหยื่ออย่างรุนแรง แต่จุดประสงค์ของการฆ่าของ “เจฟฟรีย์ ดาห์เมอร์” ถูกผลักดันด้วยฤทธิ์แอลกอฮอล์ หรือแรงขับเคลื่อนทางเพศของตัวเอง เพื่อให้เหยื่อยอมจำนนต่อเขาอย่างสมบูรณ์ การฆาตกรรมที่เลวร้ายที่สุดของเขาเท่าที่ทุกคนได้ยินมา คือ เขาพยายามสร้างทาสทางเพศที่ไม่สนใจว่า ใครลักพาตัวพวกเขามา หรือที่บางคนนิยามว่า คือการทำ “ซอมบี้” เขาใช้วิธีการต่าง ๆ ทดลองกับเหยื่อมากมาย หนึ่งในนั้นคือ “การใช้สว่านเจาะกะโหลก แล้วเทสารเหลว เช่น น้ำกรดหรือน้ำเดือดเข้าไปในรูดังกล่าว เพื่อให้สมองของเหยื่อถูกทำลาย แล้วอยู่ในสภาพเป็นผัก”
เรื่องจริงที่ 7 เขาสร้างแท่นบูชาจากกระดูกของเหยื่อ
เหยื่อของฆาตกรต่อเนื่องรายนี้ นอกจากถูกสังหารอย่างโหดเหี้ยมแล้ว ร่างกายและอวัยวะที่ยังเหลืออยู่ “เจฟฟรีย์ ดาห์เมอร์” ได้สะสมไว้เพื่อสร้าง “แท่นบูชาซาตาน” ที่เนรมิตขึ้นจากชิ้นส่วนกระดูกและกะโหลกของผู้เคราะห์ร้ายหลายสิบชีวิต ซึ่งเขาก็ได้เขียนแบบเอาไว้คร่าว ๆ ด้วย ในเวลาต่อมามันกลายเป็นหลักฐานชิ้นสำคัญในการจับกุมและลงโทษเขาตามกฎหมายอย่างสาสมด้วย
จากรูปด้านบน “เจฟฟรีย์ ดาห์เมอร์” วาดตัวเองนั่งอยู่บนเก้าอี้สีดำและดื่มดำกับอาชญากรรมที่เขาก่อในบ้านตัวเองอย่างมีความสุข
เรื่องจริงที่ 8 พบชิ้นส่วนมนุษย์ในภาชนะทุกใบของ “เจฟฟรีย์ ดาห์เมอร์”
เมื่อตำรวจเข้าจับกุม “เจฟฟรีย์ ดาห์เมอร์” ฆาตกรต่อเนื่องกินคนในบ้านพักของเขาเองเมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม 2534 ก็ต้องช็อกกับภาพที่เห็นตรงหน้า เพราะพบชิ้นส่วนมนุษย์อยู่ในภาชนะแทบทุกใบของเขา และนี่ก็เป็นที่มาอีกหนึ่งฉายาของเขา คือ “มนุษย์กินคนแห่งมิลวอกี (Milwaukee Cannibal)” หลังจากที่ “เจฟฟรีย์ ดาห์เมอร์” สังหารและฆ่าเหยื่อแล้ว เขาจะชำแหละเอาเครื่องในออกมา และตัดเนื้อออกจากกระดูกส่วนต่าง ๆ แล้วกินอย่างเอร็ดอร่อย เพราะทำให้เขารู้สึกว่า เหยื่อเป็นส่วนหนึ่งของตัวเขาด้วย
นอกจากนี้ ในจุดเกิดเหตุยังพบขวดบรรจุกรดไฮโดรคลอริค, กระป๋องขนาดใหญ่ (ในภาพด้านบน), สารละลายเนื้อเยื่อ และกะโหลกมากมาย บางอันก็ถูกแต่งแต้มสีเป็นของที่ระลึกอันสวยงามหลังการฆ่า
เรื่องจริงที่ 9 แม้จะป่วยทางจิตหลายอย่าง แต่ “เจฟฟรีย์ ดาห์เมอร์” ก็ถูกตัดสินจำคุกตลอดชีวิตเหมือนกับคนปกติ
หลังการเข้าจับกุมตัว “เจฟฟรีย์ ดาห์เมอร์” เมื่อปี 2534 แพทย์ก็พบว่า เขามีโรคทางจิตหลายอย่าง เช่น ความผิดปกติทางบุคลิกภาพหรือที่เรียกว่า “ไซโคพาธ (Psychopath)”, ความผิดปกติทางบุคลิกภาพแบบก้ำกึ่ง และโรคจิตเภท เป็นต้น นอกจากนี้ เขายังถูกพบว่า มีอาการป่วยที่เรียกว่า “Splanchnophilia” บุคคลนั้นมีความผิดปกติทางจิต อันเกิดจากแรงกระตุ้นที่ได้เห็นเนื้อสด ๆ และกระดูก
และอย่างที่ The Joi เผยใน “เรื่องจริงที่ 1” พ่อของ “เจฟฟรีย์ ดาห์เมอร์” รักลูกชายมาก เขาพยายามทุกวิถีทางให้ลูกชายของเขาถูกจองจำในโรงพยาบาลจิตเวชสำหรับฆาตกร ไม่ใช่เข้าเรือนจำคนปกติ อย่างไรก็ตาม ศาลไม่เห็นเช่นนั้น และแถลงว่า “เจฟฟรีย์ ดาห์เมอร์” เป็นบุคคลที่สมประกอบทั้งร่างกายและจิตใจ เขารับรู้และเข้าใจว่ากระทำการใดลงไปต่อเหยื่อเสมอ ด้วยเหตุนี้ทำให้เขาถูกต้องข้อหากระทำความผิด 15 กระทง และ “ต้องถูกจองจำในเรือนจำตลอดชีวิต” นับตั้งแต่วันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2535 เป็นต้นไป
เรื่องจริงที่ 10 น้องชายของ “เจฟฟรีย์ ดาห์เมอร์” เปลี่ยนชื่อ-นามสกุล เพื่อซ่อนตัวตนจากความสนใจของสาธารณะชน
และหากเพื่อน ๆ จะไม่รู้ “เจฟฟรีย์ ดาห์เมอร์” มีน้องชายแท้ ๆ อีกคน ซึ่งอายุห่างกัน 6 ปี มีชื่อว่า “เดวิด ดาห์เมอร์ (David Dahmer)” หลังพี่ชายถูกจับกุมตัว ก็ทำให้สื่อและประชาชนให้ความสนใจน้องชายผู้นี้ด้วย แต่เขาไม่ได้ต้องการแสงจากการฆาตกรรมเหยื่อต่อเนื่องอย่างโหดร้ายของพี่ชาย
“เดวิด ดาห์เมอร์” พยายามตีตัวออกหาจากแสงและหนีสังคม ถึงขั้นเปลี่ยนชื่อตัวเอง เพื่อไม่ให้มีใครจดจำเขาได้ แต่เหตุผลสำคัญน่าจะเป็นเพราะ ชื่อ “เดวิด” เป็นชื่อที่ “เจฟฟรีย์ ดาห์เมอร์” ตั้งให้เขาตอนเกิด
จากรายงานของสื่อท้องถิ่นในสหรัฐฯ เท่าที่ The Joi พบเจอ รายงานระบุว่า น้องชายของ “เจฟฟรีย์ ดาห์เมอร์” จบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยซินซินนาติ ในรัฐโอไฮโอของสหรัฐฯ และมีการงานที่มั่นคงหลังเรียนจบ มีครอบครัวที่อบอุ่นและลูกสองคน และเมื่อเขาต้องมาให้การต่อศาลในฐานะพยานจองจำเลย (เจฟฟรีย์ ดาห์เมอร์) เขาก็ปฏิเสธมาเข้าร่วมด้วย
รู้ “10 เรื่องจริงที่คุณต้องรู้เกี่ยวกับ Monster The Jeffrey Dahmer Story (ปิศาจ เจฟฟรี่ย์ ดาห์เมอร์)” กันแล้ว คงจะช่วยให้เพื่อน ๆ อินกับซีรีส์สารคดีสร้างจากเรื่องจริงมากยิ่งขึ้นไปอีก สำหรับใครที่ยังไม่เคยดูก็สามารถหาดูได้ทาง Netflix มีทั้งหมด 10 ตอนด้วยกัน
ที่มาข้อมูล: Cracked, India Times และ Pink Villa
อ่านบทความที่เกี่ยวข้อง: เปิดเพลย์ลิสต์ 5 เพลงฮิตของนักร้องดังระดับโลก ที่มีชื่อฆาตกรต่อเนื่อง “Jeffrey Dahmer” อยู่ในเนื้อเพลง
อ่านบทความที่เกี่ยวข้อง: 11 หนังและซีรีส์ที่ดีที่สุดของ “อีแวน ปีเตอร์ส (Evan Peters)” มีตั้งแต่รักใส ๆ ยันสายดาร์ก
อ่านบทความที่เกี่ยวข้อง: 15 เรื่องจริงที่คุณต้องรู้เกี่ยวกับหนัง “Texas Chainsaw Massacre”