แม้ว่าประเทศไทยจะเป็นเมืองพุทธ แต่ก็ไม่อาจห้ามไม่ให้เกิดคดีฆาตกรรมได้ เพราะตราบใดที่มนุษย์ยังมีกิเลสตัณหา รัก โลภ โกรธ หลง ก็ไม่สามารถหยุดยั้งการทะเลาะเบาะแว้ง ทำร้ายร่างกาย และเลวร้ายที่สุดคือ ทำให้ถึงแก่ชีวิต หรือก่อเหตุฆาตกรรม
แต่คดีฆาตกรรมดังในอดีตเรื่องใด ที่ทำให้คนไทยทั้งประเทศต้องขนพองสยองเกล้าจนลืมไม่ลง? The Joi จะพาทุกคนThe Joi เลยจะพาทุกคนย้อนอดีตกลับไปดู 10 คดีสยองขวัญดังกล่าว และยังโด่งดังจนถูกนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์ด้วย แต่คดีฆาตกรรมดังในอดีตเรื่องใด ที่ทำให้คนไทยทั้งประเทศต้องขนพองสยองเกล้าจนลืมไม่ลง?
1. คดีนวลฉวี
คดีดังกล่าวเกิดจากความรักแบบ 1 ชาย 2 หญิง ของ “นายแพทย์อธิป สุญาณเศรษฐกร” ผู้ก่อเหตุ กับ “นางนวลฉวี สุญาณเศรษฐกร” ผู้ตาย และ “นางสาวสมบูรณ์ สืบสมาน” หญิงสาวที่คบซ้อน
ในปี 2501 นายอธิป แพทย์ของโรงพยาบาลรถไฟ ได้พบรักกับนางนวลฉวี พยาบาลของสถานพยาบาลโรงงานยาสูบ ต่อมาตกลงปลงใจเป็นสามีภรรยาโดยจดทะเบียนสมรสเมื่อวันที่ 11 มีนาคม 2502 แต่หลังจากนั้นเพียง 6 วัน นายอธิปก็ได้จดทะเบียนสมรสซ้อนกับนางสาวสมบูรณ์
ปัญหาคบซ้อนนี้เริ่มเป็นเรื่องใหญ่ เมื่อนางนวลฉวีได้เข้าแจ้งความกับพนักงานสอบสวน สถานีตำรวจนครบาลพญาไท ให้ดำเนินคดีกับนายแพทย์อธิป ในข้อหาทำร้ายร่างกาย ทำให้เธอมีบาดแผลที่ตาซ้ายและจมูกมีรอยบวมช้ำ เมื่อวันที่ 13 กรกฎาคม 2502
จนกระทั่งวันที่ 10 กันยายน 2502 นางนวลฉวีได้หายตัวไป ก่อนพบเป็นศพลอยขึ้นอืด มือพาดอก ถูกแทงที่ชายโครงซ้าย 1 แผล ชายโครงขวา 2 แผลจนเลือดตกในจนเสียชีวิต โดยฝีมือของสามีที่รัก โดยในวันที่ 12 ธันวาคม 2503 ศาลอาญามีคำพิพากษาความผิดนายแพทย์อธิป ฐานฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน และฐานก่อให้ผู้อื่นร่วมกระทำผิด ให้ระวางโทษประหารชีวิต ส่วนผู้ที่ร่วมก่อเหตุ “นายมงคล” คือมือมีดสังหารนางนวลฉวี และต่อมาทั้งสองได้รับพระราชทานอภัยโทษ
2. คดีศยามล
อีกหนึ่งคดีพิศวาสฆาตกรรมเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 29 กันยายน 2536 เกิดระหว่าง “นายแพทย์บัณฑิต โฆษิตชัยวัฒน์” ผู้ก่อเหตุ กับ “นางศยามล ลาภก่อเกียรติ” เจ้าของร้านเสื้อบารมีในศูนย์การค้าหัวหินคอมเพล็กซ์ ซึ่งถูกพบเป็นศพเสียชีวิตอยู่ในรถยนต์ ริมถนนในเขตอำเภอบ้านลาด จังหวัดเพชรบุรี โดยบนตัวเธอมีเด็กหญิงคนหนึ่งกอดศพร้องไห้อยู่ด้วย
พนักงานสืบสวนสอบสวนพบว่า นายแพทย์บัณฑิต ก่อเหตุฆาตกรรมภรรยา เนื่องจากมีปัญหาเรื่องชู้สาว โดยพยายามอำพรางคดีให้เป็นคดีข่มขืนและชิงทรัพย์ ต่อมาสืบทราบว่า “นายบรรจบ นิลห้อย” คือผู้ประสานงานในการว่าจ้างกลุ่มฆาตกรในการสังหารนางศยามลอีก 3 คน
จนกระทั่ง 23 กันยายน 2539 ศาลฎีกายืนยันคำพิพากษาคำตัดสินของศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ให้ประหารชีวิตนายแพทย์บัณฑิต
3. คดีเชอรี่ แอน ดันแคน
คดีฆาตกรรมอันเกิดจากรัก 4 เส้า ของชาย 1 หญิง 3 ที่มีความซับซ้อนซ่อนเงื่อนยิ่งกว่านวนิยาย อันเกิดจากความรัก ความหึงหวง ความอิจฉาริษยา และความโลภ ซึ่งนำไปสู่โศกนาฏกรรมการตายของ “เชอรี่ แอน ดันแคน” หรือที่ทุกคนเรียกเธอสั้น ๆ ว่า “เชอรี่ แอน” เด็กสาวลูกครึ่ง วัยเพียง 16 ปี ในปี 2529 และนับเป็นคดีลงโทษแพะครั้งประวัติศาสตร์ของวงการยุติธรรมไทย ซึ่งนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงการรับฟังพยานบุคคลในศาลในปัจจุบัน และการที่กระบวนการยุติธรรมต้องชดเชยในกรณีตัดสินผิดพลาดแก่เหยื่อ
คดีนี้เกิดขึ้นหลังเจ้าหน้าที่พบศพของเชอรี่ แอน ที่ป่าแสมริมถนนสุขุมวิท ใกล้บางปู และมีการจับกุม “นายวิชัย ชนะพานิชย์” นักธุรกิจ พร้อมพวกอีก 4 คน ในฐานะผู้ต้องหาจ้างวานฆ่า แต่นายวิชัยกลับรอดคดี ส่วนพวกอีก 4 คนถูกจำคุกไม่น้อยกว่า 6 ปี ซึ่งภายหลังพบว่าเป็นแพะ ทุกคนเป็นผู้บริสุทธิ์ 1 ในจำนวนนี้ต้อเสียชีวิตในคุก 2 คนเสียชีวิตหลังออกจากคุกไม่นาน และอีกคนต้องพิการตลอดชีวิตจนตาย เมื่อวันที่ 12 ตุลาคม 2555 อันเป็นผลจากระบบการสืบสวนผู้ต้องหาของตำรวจเลว เพื่อเค้นให้รับสารภาพ
และผู้ที่เป็นฆาตกรตัวจริงคือ “นายสมัคร ธูปบูชาการ” และ “นายสมพงษ์ บุญญฤิทธิ์” และผู้จ้างวานคือ “นางสาวสุวิมล พงษ์พัฒน์” ซึ่งสามารถจับกุมตัวมาลงโทษได้สำเร็จ
4. คดีฆาตกรรมตัวเองสังเวยรักไม่สมหวังที่สะพานสารสิน
หลายคนเรียกคดีฆาตกรรมนี้ว่า “โศกนาฏกรรมรัก ณ สะพานสารสิน” เมื่อชายหญิงต่างชาติตระกูลและฐานะทางสังคม คือ “อิ๋ว” นักศึกษาวิทยาลัยครู กับ “โกไข่” คนขับรถสองแถวและรับจ้างกรีดยาง ปัญหาความรักของทั้งสองเกิดขึ้นจากพ่อเลี้ยงของอิ๋วไม่ให้อิสระและพยายามจับเธอแต่งงานกับคนมีฐานะ แม้ว่าโกไข่จะพยายามพิสูจน์ตนเองต่าง ๆ นานา แต่ก็ไม่เป็นผล
ชาวบ้านท่าฉัตรไชย จังหวัดภูเก็ต ต่างทราบกันดีถึงอุปสรรคของหนุ่มสาวทั้งสอง และพยายามให้ทั้งคู่เลิกคบหากัน เพราะอาจเป็นภัยต่อชีวิตทั้งคู่ แม้ว่าผู้ใหญ่หลายคนจะพยายามพูดให้พ่อของอิ๋วยอมรับโกไข่เป็นลูกเขยแล้วก็ตาม พ่อเลี้ยงก็ไม่ยินยอม ประกอบกับอิ๋วก็ถูกพ่อเลี้ยงทุบตีทำร้ายเยี่ยงสัตว์ เพียงเพราะแอบมาพบโกไข่
สุดท้ายเมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2516 ทั้งคู่ตัดสินใจเอาผ้าขาวม้ามัดผูกตัวติดกัน แล้วกระโดดจากกลางสะพานสารสินลงน้ำ ทิ้งเรื่องราวความรักอมตะให้ผู้คนได้เล่าบอกต่อกันจนถึงปัจจุบันนี้
5. คืนบาปพรหมพิราม
คดีนี้เกิดขึ้นเมื่อปี 2520 เมื่อชาวบ้านพบศพของ “นางสำเนียง พุ่มหมอก” ซึ่งเป็นคนอำเภอบ้านดารา ทางเหนือขึ้นไปจากอำเภอพรหมพิราม หลังหายตัวไปตั้งแต่ปี 2519 โดนรถไฟทับตัวขาดกระเด็นเป็นสามท่อนที่อำเภอพรหมพิราม จังหวัดพิษณุโลก ทุกคนคิดว่าเป็นอุบัติเหตุ และคดีถูกปิดไปเรียบร้อย
โดยชาวบ้านที่พบเห็นนางสำเนียงครั้งสุดท้ายที่สถานีรถไฟพรหมพิรามในตอนกลางคืน บอกว่าไม่รู้เป็นใครมาจากไหนดูเป็นคนเอ๋อ จะว่าไม่เต็มก็ไม่ใช่ จะว่าปัญญาอ่อนก็ไม่เชิง
แต่มีนักข่าวคนหนึ่งไม่เชื่อว่าเป็นอุบัติเหตุและเริ่มขุดคุ้ยเรื่องราว จนเป็นข่าวโด่งดังมากบนหน้าหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ กรมตำรวจจึงต้องรื้อคดีขึ้นมาใหม่ สืบสวนแล้วก็พบว่า มันไม่ใช่อุบัติเหตุจริง ๆ แต่เป็นการฆ่าอำพรางคดี โดยพบว่านางสำเนียงถูกข่มขืนกระทำชำเรา โดยพวกผู้ชายในอำเภอมากกว่า 20 คน จนถึงแก่ความตาย แล้วเกิดกลัวความผิดจึงเอาศพไปวางให้รถไฟทับเป็นการอำพรางคดี และถูกดำเนินคดีทุกคน
6. บุญเพ็งหีบเหล็ก
“บุญเพ็ง” หรือฉายาของเขาคือ “บุญเพ็งหีบเหล็ก” เป็นฆาตกรหั่นศพแบบต่อเนื่องรายแรกของประเทศไทย และเป็นนักโทษคนสุดท้ายของไทยที่ถูกตัดสินประหารชีวิตโดยการถูกบั่นศีรษะในปี 2474 ก่อนการเปลี่ยนแปลงการปกครองในปี 2475
นั่นก็เพราะว่า บุญเพ็งฆาตกรรมผู้หญิงและหั่นศพใส่หีบเหล็กโยนทิ้งน้ำ โดยเหยื่อของเขาทั้งหมด 7 คน ล้วนแต่ตกหลุมสวาทของเขาทั้งสิ้น เนื่องจากรูปร่างดี ดูสุภาพอ่อนโยน และพูดจาดีอีกต่างหาก อีกทั้ง ยังเรียนไสยเวทย์ มีสำนักหมอผี ให้บริการดูดวง สะเดาะเคราะห์ และทำเสน่ห์ยาแฝด อยู่บริเวณบางลำพู ด้วย แต่ตำรวจก็สามารถจับกุมตัวได้
7. คดียิงนักร้องดัง “สุรพล สมบัติเจริญ”
เชื่อว่าคนรุ่นใหม่เองในศตวรรษที่ 21 ก็ต้องเคยได้ยินเพลงของราชาเพลงลูกทุ่งผู้นี้กันอย่างแน่นอน ไม่ว่าจะเพลง “เป็นโสดทำไม” หรือ “สาวสวนแตง” แบบออริจินัลดั้งเดิมไม่มีการดัดแปลง หรือแบบรีมิกซ์ที่เข้ากับยุคปัจจุบัน เอาใจสายตื๊ด แต่รู้หรือไม่ว่า “สุรพล สมบัติเจริญ” หรือชื่อเดิมคือ “ลำดวน” อายุเพียง 37 ปี ถูกลอบยิงเสียชีวิต หลังจากแสดงบนเวทีวิกแสงจันทร์ บริเวณริมถนนมาลัยแมน ตรงข้ามวัดหนองปลาไหล อำเภอกำแพงแสน จังหวัดนครปฐม กลางดึกของวันที่ 16 สิงหาคม 2511 (เวลา 01:00 น. ของวันที่ 17 สิงหาคม 2511)
ส่วนเรื่องใครฆ่านั้น ไม่มีคำตอบแน่ชัด แต่สันนิษฐานว่ามาจากเรื่องชู้สาว เป็นชู้กับภรรยาของผู้มีอิทธิพลในจังหวัดนครปฐม เพราะสมัยนั้นสุรพล สมบัติเจริญดังมาก ๆ มีแฟนเพลงสาว ๆ ติดกันตรึม บวกกับสุรพลเป็นคนเจ้าชู้อยู่แล้วด้วย ส่วนผู้บงการสั่งฆ่านั้นก็มีอิทธิพลมาก ตำรวจสาวไปเจอตอแล้วก็หยุด ทำอะไรไม่ได้ ประกอบกับสมัยปี 2500 นั้น กฎหมายบ้านเมืองก็ยังไม่เข้มมากนัก ส่วนมือปืนรับจ้างนั้นตายไปนานมากแล้ว
8. คดีตี๋ใหญ่
“ตี๋ใหญ่” หรือชื่อจริงคือ “กรประเสริฐ ช่างเขียน” เป็นชาวไทยเชื้อสายจีน เป็นลูกชายคนโตในจำนวนลูก ๆ ทั้ง 7 คนของครอบครัว เมื่อยังเด็กนิสัยสุภาพเรียบร้อย ไม่มีวี่แววจะเป็นอาชญากรได้เลย จนป. 4 ได้เข้ามาเรียนในกรุงเทพฯ ถูกลูกนักเลงเจ้าถิ่นตลาดมหานาคกลั่นแกล้ง เลยกลายเป็นคนสู้คนขึ้นมา และสุดท้ายก็ก่ออาชญากรรม และถูกครอบครัวตัดขาดไม่ยอมให้กลับบ้านเด็ดขาด
ตี๋ใหญ่ มีเอกลักษณ์ประจำตัวคือมักสวมเสื้อเชิ้ตลายสก็อต กางเกงยีนส์สีดำ สวมแว่นดำ และรองเท้าผ้าใบ เวลาออกปล้นมักฆ่าเจ้าทรัพย์ด้วยความโหดเหี้ยม และวิธีการหนีตำรวจของตี๋ใหญ่ที่เล่าลือกันมาตลอดคือ วิธีดำน้ำโดยการใช้ปากดูดอากาศจากก้านบัวเหมือนหลอด แต่แล้วก็ถูกฆาตกรรมเมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2524 จากลูกน้องที่หักหลัง ใช้ปืนยิงเข้าที่หลังจนเสียชีวิตคารถ ก่อนหลบหนีหายไป
9. คดีฆ่าหมกศพแท็งค์น้ำ
คดีนี้ชวนอาเจียนหนัก เมื่อพบศพวัยรุ่นสาวรายหนึ่งถูกฆาตกรรมอำพรางใช้ของแข็งทุบที่หัวและรัดคอ ก่อนนำศพห่อด้วยถุงดำไปหมกในถังน้ำขนาด 2,000 ลิตร บนดาดฟ้าของหอพักแห่งหนึ่งในย่านคลองหลวง คนเริ่มทราบว่ามีศพหมกในแท็งค์น้ำหลังน้ำที่ใช้มีกลิ่นเน่าเหม็นผิดปกติ กระทั่งขึ้นไปตรวจสอบในถังน้ำถึงกับต้องผงะ เพราะเจอศพอืดกลิ่นโชยตลบ ตำรวจคาดว่าสาวรายนี้รู้จักกับคนร้ายเป็นอย่างดี และเชื่อว่าเป็นคนในหอพักลวงมาเจรจาปัญหาบางอย่าง แต่ตกลงกันไม่ได้เลยลงมือฆ่าแล้วนำศพมายัดถัง
แน่นอนว่าชาวหอพักดังกล่าวทราบก็ถึงกับอาเจียน เพราะใช้น้ำที่เน่าจากศพมาอาบ ล้างหน้า แปรงฟัน บางคนนำมาหุงกินข้าว และหลายคนพากันอพยพไปอยู่ที่ใหม่ เนื่องจากเข็ดขยาดกับน้ำในหอและหวาดผวาวิญญาณของสาวผู้เสียชีวิต
10. คดีซานติก้า สยองรับปีใหม่
คดีนี้สยองรับปีใหม่ 2552 เมื่อเกิดเหตุไฟไหม้ซานติก้าผับ ผับหรูย่านเอกมัย เวลาประมาณ 00:20 น. ทำให้มีนักเที่ยวกลางคืนทั้งไทยและต่างประเทศเสียชีวิตมากกว่า 60 ราย ส่วนใหญ่สำลักควันและถูกเหยียบ มีผู้บาดเจ็บกว่า 200 ราย เนื่องจากทางเข้า-ออกผับคับแคบ ทำให้เจ้าหน้าที่ช่วยผู้ประสบเหตุอย่างยากลำบาก
สาเหตุของเพลิงไหม่คาดว่า มาจากนักท่องเที่ยวแอบจุดพลุฉลองปีใหม่ ประกายไฟลอยไปติดโฟมด้านบน และลุกไหม้อย่างรวดเร็ว นับว่าปิดฉากผับที่เปิดเป็นคืนสุดท้ายได้สยองขวัญที่สุดเท่าที่ไทยเคยมีมา!
ที่มาข้อมูล Pantip และ OK Nation