เหมือนตายทั้งเป็น! ผู้บำบัดติดยาเสพติดในวัดท่าพุราษฏร์บำรุง ในจังหวัดกาญจนบุรี เผยถูกทำร้ายร่างกายและอยากออกต้องเสียเงินหลักหมื่น! กระทรวงสาธารณสุขสั่งปิดศูนย์ฟื้นฟูฯ ดังกล่าว เพื่อตรวจสอบข้อเท็จ พร้อมเคลื่อนย้ายพระและผู้ติดยาเสพติดไปอยู่เขาชนไก่เป็นการชั่วคราว ด้านเจ้าอาวาสเครียดมรณภาพ
เรื่องราวนี้แดงถึงหูสื่อมวลชนเมื่อวานนี้ (20 กันยายน 2564) หลัง “นายไพศาล เรืองฤทธิ์” ทนายความ นำผู้เสียหาย ซึ่งเป็นผู้ปกครองของผู้ติดยาเสพติด ณ ศูนย์ฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติดซึ่งตั้งอยู่ในวัดท่าพุราษฏร์บำรุง อำเภอด่านมะขามเตี้ย จังหวัดกาญจนบุรี ร้องเรียนกับกระทรวงสาธารณสุข ให้ตรวจสอบศูนย์ฟื้นฟูฯ ดังกล่าว หลังมีการซ้อมทรมาน ทำสัญญาและเรียกค่าไถ่ หากจะออกมาต้องจ่ายเงิน และยังกล่าวอ้างว่า มีผู้เสียชีวิตในนั้นด้วยราว 2-4 ราย และมีกว่า 300 ชีวิต กินอยู่ลักษณะคล้ายค่ายกักกัน เด็กอยากหนีมีการใส่กุญแจมือ
นอกจากนี้ ผู้ที่เข้ารับการบำบัดที่ศูนย์ฟื้นฟูดังกล่าว “ต้องรักษาตัว 12 เดือน โดยให้ติดต่อญาติแค่ 2 สัปดาห์แรก หลังจากนั้นไม่ให้ติดต่อเลย เป็นเวลา 3 เดือน ถ้าต้องการภาพอะไรก็ตามที่ผู้เสียหายแจ้ง จะต้องเสียเงิน 1,500 บาท อีกทั้ง ยังต้องเสียค่าแรกเข้า 10,000 บาท ค่ารายเดือน 2,000 บาท และหากจะออกต้องเสียอีก 10,000 บาทด้วย”
เมื่อกระทรวงสาธารณสุขทราบเรื่องได้สั่งปิดศูนย์ฟื้นฟูฯ ดังกล่าว และมอบให้สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดลงพื้นที่ด่วน เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริง เพราะการดำเนินการตามคำกล่าวอ้างของผู้เสียหายเข้าข่ายไม่เป็นไปตาม พ.ร.บ. ฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด พ.ศ. 2545 ผิดกฎหมายอาญา ด้านเจ้าอาวาสวัดท่าพุราษฏร์บำรุง ซึ่งสุขภาพไม่ค่อยแข็งแรงอยู่แล้ว ประกอบกับเครียดต่อเรื่องราวดังกล่าว อาการทรุดลง ก่อนจะมรณภาพลงในเวลาต่อมา
โดย “หมอปลา” และ “นายไพศาล” ทนายฝั่งผู้เสียหาย ได้เข้าเจรจากับเจ้าหน้าที่ศูนย์ พร้อมด้วยผู้ว่าราชการจังหวัดกาญจนบุรี สุดท้ายเพื่อแก้ปัญหาให้กับทุกฝ่ายอย่างเป็นธรรม ผู้ว่าฯ กาญจนบุรีได้ประสานเจ้าหน้าที่ทหารจากมณฑลทหารบกที่ 17 นำรถทหาร มารับกลุ่มผู้บำบัดที่อยู่ในเรือนนอน จำนวน 216 คน รวมถึงกลุ่มผู้บำบัดที่บวชเป็นพระสงฆ์อยู่ภายในกุฏิอีกหลายสิบคน ไปอยู่ที่ค่ายทหารเขาชนไก่เป็นการชั่วคราวทันที เนื่องจากเห็นว่าสถานที่เรือนนอนภายในศูนย์บำบัดมีความคับแคบ แออัด และไม่มีความพร้อมในการดูแลผู้เข้ารับการบำบัดจำนวนมาก
หลังขนย้ายกลุ่มผู้บำบัดเสร็จเรียบร้อย ได้มีการจัดทำประวัติของกลุ่มผู้เข้ารับการบำบัด พร้อมติดต่อครอบครัว ให้เข้าพบกับเจ้าหน้าที่และตัดสินใจว่าจะรับกลุ่มผู้บำบัดกลับบ้าน หรือจะส่งไปเข้ารับการบำบัดที่อื่นต่อ ส่วนการสอบสวนข้อเท็จจริงและการดำเนินคดียังดำเนินต่อไป
ล่าสุดวันนี้ (21 กันยายน 2564) มีผู้ใช้บัญชีเฟซบุ๊กรายหนึ่งแจ้งลงกลุ่มเพจเฟสบุ๊ก “คนเมืองกาญจน์ รีเทิร์น (คนเมืองกาญจน์ 2)” ถึงกรณีร้องให้ตรวจสอบศูนย์สงเคราะห์บำบัดฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติดวัดท่าพุราษฏร์บำรุง ในจังหวัดกาญจนบุรี ระบุว่า…
“ผมจะเล่าให้ฟัง มีเด็กบำบัดที่ออกไป ร้องเรียนว่าถูกทุบตี เรียกเงิน เลยมีหน่วยงานเข้ามาตรวจสอบ
1. เรียกเงิน 50,000 หรือครึ่งแสน ขอตอบว่า ทางวัดเรียกแค่แรกเข้า 1 ปี 12,000 บาท คือ 1 ปี ค่าใช้จ่าย ไปคุมประพฤติ หาหมอ อันนี้ญาติรับผิดชอบเอง
2. การกักบริเวณ คือ ศูนย์นี้เปิดมาเกือบ 20 ปี ทำการกักบริเวณมาได้ประมาณ 4 เดือน เพราะมีพฤติกรรมหลบหนี (บางคนไปขโมยรถชาวบ้าน ขโมยเสื้อผ้าบ้าง) เคยให้เล่นฟุตบอล ก็หนีหาย ออกมานั่งทำกิจกรรมก็กระโดดกำแพงหนี
3. คุณมาถึงถามแต่คนข้างใน เขาก็พูดทุกอย่างล่ะ เพื่อได้กลับ ทั้ง ๆ ที่ครอบครัวเขานำมาให้อยู่ที่นี้ (ลองถามญาติ สักนิด ว่าอยากให้กลับไหม)
4. ที่เห็นเป็นแผล ไม่ใช่การทุบตี มันเป็นแผลโรคผิวหนัง การตีมันมีจริงนะครับ แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะตีจนตายอะไรขนาดนั้น
5. เรื่องข้าวบูด เป็นเพราะเก็บมาตั้งแต่เช้า เอาไว้กินเย็น มันเลยบูด ทางวัดให้กินข้าว 2 มื้อ เช้ากับเที่ยง
ลองถามดูครับ ก่อนจะตัดสินอะไร ตอนนี้ยังมีคนบำบัดอยู่นะ บางคนอยู่ต่อ บางคนอยู่ช่วยงานหลวงพ่อ บางคนอยู่สร้างแท่นพระพุทธรูปให้เสร็จ อยากให้นักข่าว ลองมาถามคนพวกนี้บ้าง ถามแต่คนข้างใน คนอยากจะออก พูดได้ทุกอย่างล่ะครับ จะด่าอะไร เว้นหลวงพ่อไว้สักองค์นะครับ ท่านมรณภาพวันนี้ นักข่าวมาวันนี้ มันชนกันไปหมด ผมจะมาชี้แจ้ง ในฐานะที่ผมอยู่กับหลวงพ่อมา 7 ปี เท่าที่ผมทราบ”
ที่มาข้อมูล ข่าวสด, กรุงเทพธุรกิจ และมติชนออนไลน์