“มิจฉาชีพ” มีอยู่ทุกที่และมาในหลากหลายรูปแบบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการก่ออาชญากรรมออนไลน์ ที่พุ่งสูงตีคู่มาพร้อมกับโควิด-19 เลยทีเดียว
ล่าสุด “กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บก.ปอท.)” ได้เผยข้อมูลทางสถิติเกี่ยวกับการก่ออาชญากรรมออนไลน์ในไทย ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคมถึง 9 สิงหาคม 2564 พบว่ามีผู้เสียหายถูกโกงบนอินเทอร์เน็ตมากกว่าพันรายแล้ว โดยถูกโกงผ่านแอปพลิเคชันเฟซบุ๊กมากที่สุดถึง 881 ราย รองลงมาแอปพลิเคชันไลน์ 232 ราย และอินสตราแกรม 79 ราย
และ 5 อันดับแรกของอาชญากรรมออนไลน์ที่พบว่าเกิดในไทยมากที่สุดประจำปี 2564 มีดังนี้
1. การด่าทอ-ไซเบอร์บูลลี่
ช่วงการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ส่งผลให้ประชาชนเข้าถึงโซเชียลมีเดียเป็นจำนวนมาก ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ และจากสถานการณ์การเมืองที่ร้อนแรง รวมทั้งความเห็นต่างทางการเมือง ทำให้พบความผิดเกี่ยวกับการด่าทอและไซเบอร์บูลลี่ เป็นอันดับ 1 มีการดำเนินคดี 534 ราย
2. แฮกข้อมูล-ฟิชชิ่งลวงแจกเงิน
บรรดามิจฉาชีพ หรือแฮกเกอร์จะพยายามล้วงข้อมูลและลวงยืมเงินจากเหยื่อ ส่วนใหญ่เกิดจากการใช้รหัสที่คาดเดาง่าย เช่น เบอร์โทรศัพท์ เมื่อมิจฉาชีพรู้เบอร์โทรศัพท์แล้วเข้าใช้งานแอปพลิเคชั่นโซเซียลของผู้เสียหายได้ ก็เปลี่ยนรหัสและยึดบัญชีผู้ใช้ทันที
ส่วนอีกกรณี เป็นการล่อลวงแบบฟิชชิ่ง (Phishing) ใช้ประโยคและแนบลิงก์ให้เข้าไปกรอก Username และ Password ส่วนใหญ่พบในรูปแบบการแจกของและ Gift voucher
ยกตัวอย่างก่อนหน้านี้ฟิชชิ่ง ร้านไก่ทอด KFC ที่ทุกคนรู้จัก ก็ถึงกับต้องชี้แจงชวนลูกค้าร่วมฉลองแคมเปญครบรอบ 15 ปี ที่สำคัญบอกที่มาชัดเจนว่ามาจากการส่งต่อกันในกรุ๊ปไลน์ต่าง ๆ เป็นจำนวนมาก หรืออ้างกาแฟเจ้าดังแจกเงินคนละ 10,000 บาทสู้โควิด ผู้เสียหายจึงหลงเชื่อและคลิกลิงก์เข้าไปกรอก Username และ Password ของแอปพลิเคชันเฟซบุ๊กและไลน์ หวังรับเงินหรือของรางวัล
เพียงแค่เดือนที่แล้ว การก่ออาชญากรรมรูปแบบนี้ก็แซงขึ้นมาเป็นอันดับที่ 2 สะท้อนภัยการเข้าถึงข้อมูลที่มิชอบมากขึ้น
3. หลอกขายของออนไลน์ ฟ้าทะลายโจรมาแรง
มิจฉาชีพจะแฝงตัวเป็น “พ่อค้าแม่ค้าออนไลน์” โกงด้วยการสั่งสินค้าแล้วไม่ส่ง โฆษณาเกินจริง ไม่ตรงสรรพคุณ และได้สินค้าไม่เหมือนกับที่สั่งไป
ขณะนี้พบว่า มีการเขียนโปรแกรมและเปิดร้านขายสินค้าในเฟซบุ๊ก ติดต่อกับผู้ซื้อผ่านทางแชทบอท ใช้ภาพโฆษณาสินค้าที่สวยงาม แต่เมื่อผู้ซื้อได้รับสินค้าแล้วพบว่า ไม่มีคุณภาพและไม่สามารถขอคืนเงินได้
อีก 1 สินค้าที่พบการร้องเรียนบ่อย คือ “ยาฟ้าทะลายโจร” เนื่องจากเป็นที่ต้องการของประชาชนในช่วงนี้ ขอให้ตรวจสอบข้อมูลสินค้าที่ได้รับการรับรองจาก อย. ก่อนซื้อ
แนะนำ 3 อย่าง คือ 1. อย่าไว้ใจ ตรวจสอบข้อมูลร้านค้า ชื่อผู้ค้า เลขบัญชี หมายเลขโทรศัพท์ นำไปค้นหาใน google โดยพิมพ์คำว่า “โกง” ไปด้วย หากมีประวัติก็แสดงว่าร้านดังกล่าวเป็นมิจฉาชีพ 2. อย่าโลภ อย่าเห็นแก่การชักชวนลงทุน อย่าอยากได้ของถูกเกินจริง และ 3. อย่าละเลยข้อมูลข่าวสาร เพื่อให้รู้เท่าทันภัยออนไลน์
4. หลอกให้กู้เงินออนไลน์-ไม่จ่ายประจานเพื่อนฝูง
แอปพลิเคชันหลอกให้กู้เงินออนไลน์ แบ่งเป็น 2 รูปแบบ คือ 1. หลอกให้ผู้เสียหายโอนเงินค่าธรรมเนียม ดอกเบี้ยงวดแรก ก่อนรับเงิน เมื่อโอนเงินแล้วมิจฉาชีพจะปิดทุกช่องทางการติดต่อ
2. แอปพลิเคชันจากจีน มีนายทุนจีนจ้างคนไทยมาเป็นพนักงานทำลิงก์แนบข้อความ เช่น แจกเงิน 1 แสนบาท, เงินเข้าบัญชีแล้ว 1 แสนบาท และกู้วงเงินสูง กู้ง่าย
เมื่อผู้เสียหายกดลิงก์เข้าไปดู จะให้กด “ยอมรับ” การเข้าถึงรายชื่อผู้ติดต่อในโทรศัพท์ จากนั้นจะให้ทำเรื่องกู้เงิน แต่ได้เงินจริงเพียง 60% ยกตัวอย่าง กู้ 10,000 บาท ได้รับโอนเงินจริง 6,000 บาท ส่วนอีก 4,000 อ้างว่าเป็นค่าดำเนินการ ค่าดอกเบี้ย
แต่เมื่อผู้เสียหายรู้สึกถูกเอาเปรียบและจะขอยกเลิกก็ทำไม่ได้ โดยมิจฉาชีพให้เวลาหาเงินมาคืนภายใน 5-7 วัน ส่วนใหญ่ผู้เสียหายจะหาเงินคืนไม่ทัน
ต่อมาคนไทยที่รับหน้าที่เป็นพนักงาน จะโทรศัพท์ติดตามทวงเงิน ใช้วิธีทั้งด่าทอ ดูหมิ่น ข่มขู่ ที่สำคัญจะส่ง SMS ไปยังรายชื่อติดต่อในโทรศัพท์ ทั้งครอบครัว เพื่อน เพื่อนร่วมงาน ในเชิงประจานผู้เสียหาย กู้เงินแล้วไม่คืน เช่น กรณี “เงินกู้ออนไลน์” โพสต์ตามเพจต่าง ๆ ทวงหนี้ประจานคนกู้เงินไม่จ่าย มั่วเอาภาพคนอื่นที่ไม่เกี่ยวข้องไปโพสต์ลงไปด้วย เย้ยตำรวจไม่กล้าจับ (เมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 2564 จาก chiangmainews.co.th )
อ้างว่า ผู้เสียหายแจ้งชื่อบุคคลในรายชื่อดังกล่าวเป็นคนค้ำประกัน หากไม่คืนเงินจะติดเครดิตบูโร ไม่สามารถทำธุรกรรมอะไรได้ จนบางคนหลงเชื่อและยอมจ่ายหนี้แทนให้ ถือว่าปั่นป่วนในระดับหนึ่ง
5. “ไฮบริด สแกม” หลอกรักลวงลงทุน
“ไฮบริด สแกม (Hybrid Scam)” พัฒนามาจากโรแมนซ์ สแกม จากเดิมเป็นกลุ่มคนผิวสีใช้รูปโปรไฟล์ปลอมเป็นชาวยุโรป ตะวันออกกลาง หลอกให้ผู้เสียหายรักแล้วอ้างว่าได้รับมรดก จะส่งของมาให้ ป่วย หรือต้องใช้เงินลงทุน แล้วให้ผู้เสียหายโอนเงิน
แต่ “ไฮบริด สแกม” มิจฉาชีพชาวจีน ใช้โปรไฟล์อ้างเป็นชาวเกาหลี ญี่ปุ่น สิงคโปร์ ไต้หวัน จุดเริ่มต้นหลอกให้รัก ก่อนชวนให้ลงทุนผ่านแอปพลิเคชันปลอมที่เขียนขึ้นมา เทรดเงินดิจิทัลอย่างคริปโต
ต่อมาผู้เสียหายไว้ใจและลงทุนด้วย ช่วงแรกได้รับเงินจริง บางคนเพิ่มการลงทุนเป็นหลักสิบล้าน แต่เมื่อจะนำเงินออกจากบัญชี แอปฯ จะระบุว่า ต้องจ่ายค่าภาษี ค่าธรรมเนียม และอื่น ๆ 20-30%
สำหรับการเลือกเหยื่อนั้น “โรแมนซ์ สแกม” จะเลือกหญิงอายุ 40 ปีขึ้นไป ลักษณะมีฐานะทางการเงินดี ส่วนไฮบริด สแกม จะเลือกคนที่อายุ 30 ปีขึ้นไป เข้าใจการลงทุน การเงิน หรือมีบัญชีโมบายแบงค์กิ้ง โอนเงินได้เองทันที
ทั้งนี้ แนะนำว่าอย่ารับเพื่อนแปลกหน้า หรือรับเพื่อนในออนไลน์อย่างระมัดระวัง ด้วยการตรวจสอบก่อน ระวังบัญชีอวตาร ใช้รูปคนอื่น รวมทั้งตรวจสอบการโพสต์ ที่ต้องเกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวัน เที่ยว กินอาหาร และมีเพื่อน ญาติพี่น้อง มากดไลค์และคอมเมนต์
ส่วนบัญชีอวตารจะไม่ค่อยมีความเคลื่อนไหว หรือเป็นเพียงการนำข่าวมาโพสต์ ลิงก์อาหารอร่อย แต่ไม่มีคนมาคอมเมนต์
นอกจากนี้ รอง ผบก.ปอท. ยังขอให้ประชาชนระมัดระวังเรื่องของเฟกส์นิว เนื่องจากมีการส่งข้อมูลข่าวสารผ่านโซเซียลมีเดีย ส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับ COVID-19 เช่น คลัสเตอร์โควิด ยา และวัคซีน ขอให้ตรวจสอบข้อมูลจากสื่อมวลชนที่เชื่อถือได้ กรณีที่ได้แชร์ข่าวปลอมไปแล้ว โดยเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวข้องกับบุคคล และอาจมีการฟ้องร้องดำเนินคดีได้ ให้รีบลบ หรือยกเลิกข้อความเพื่อไม่ให้เกิดความสับสนในวงกว้าง
ที่มาข้อมูล ThaiPBS