หลังจาก “รังสิมันต์ โรม” ส.ส. บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ได้หยิบยกคดีสืบสวนคดีมนุษย์โรฮิงญาบนเทือกเขาแก้ว อำเภอสะเดา จังหวัดสงขลา เมื่อปี 2558 ระหว่างการอภิปรายทั่วไป ในประเด็นปัญหาการค้ามนุษย์ที่ยังคงเกิดขึ้นอยู่เมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2565 ทำให้ชื่อของ “พล.ต.ต. ปวีณ พงศ์สิรินทร์” เป็นที่สนใจของประชาชนทั้งประเทศอีกครั้ง เพราะเป็นตำรวจน้ำดีที่สืบสวนคดีดังกล่าว แต่สุดท้ายผลลัพธ์ของการทำเพื่อประเทศชาติและเพื่อมนุษยธรรม กลับไม่ได้ดี แต่พบกับการกลั่นแกล้ง ข่มขู่ จนเขาและครอบครัวต้องลี้ภัยไปออสเตรเลียจนถึงปัจจุบันนี้ ซึ่งเป็นระยะเวลานานกว่า 6 ปีแล้ว เพื่อความปลอดภัยของทุกคน
สำหรับประวัติของ “พล.ต.ต. ปวีณ พงศ์สิรินทร์” เป็นอดีตรองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 8 จบโรงเรียนนายร้อยตำรวจรุ่น 35 ซึ่งเป็นรุ่นเดียวกับ “พล.ต.อ. ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล” ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีของพล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา ซึ่งตลอดชีวิตราชการเขาได้สร้างผลงานไว้มากมาย โดยสามารถคลายคดีสำคัญหลายคดี เช่น คดีฆ่ายกครัว 5 ศพในจังหวัดสงขลา, คดีฆาตกรรมหญิงชาวสวีเดนที่จังหวัดภูเก็ต, คดีทุจริตก่อสร้างโรงพักตำรวจ 369 แห่งทั่วประเทศ และคดีแท็กซี่มาเฟียในจังหวัดภูเก็ต เป็นต้น รวมทั้งคดีค้ามนุษย์โรฮิงญาที่จังหวัดสงขลา ซึ่งเป็นผลงานโบแดงของเขา แต่กลับเป็นคดีสุดท้ายที่รับผิดชอบและผลิกพันชีวิตของเขาไปตลอดกาล
เพราะในเวลาต่อมา “คดีค้ามนุษย์” นี้ได้กลายเป็นประเด็นดังที่สื่อทั้งไทยและต่างประเทศให้ความสนใจ เพราะพบค่ายที่ใช้คุมขังชาวโรฮิงญาเพื่อค้ามนุษย์ สามารถจุคนได้ถึง 1,000 คน แต่ประเมินเบื้องต้นว่ามีชาวโรฮิงญาผ่านค่ายกักกันนี้มาแล้วนับหมื่นคน และบริเวณในพื้นที่ดังกล่าว ยังขุดพบศพชาวโรฮิงญา 36 ศพ ผลชันสูตรพบว่าบางศพขาดสารอาหารตาย บางศพมีร่องรอยถูกทำร้าย และยังพบชายชาวโรฮิงญาคนหนึ่งถูกขังไว้ที่ค่ายแห่งนี้ และถูกบังคับให้นั่งยอง ๆ อยู่ในคอกทั้งวันจนขาลีบอ่อนแรง เดินไม่ได้ ต้องกินใบไม้ประทังชีวิต โดยชาวโรฮิงญาที่รอดชีวิตได้ให้การกับตำรวจว่า พวกเขาจ่ายเงิน 10,000-70,000 บาท ให้กับขบวนการค้ามนุษย์ อ้างว่าจะพาขึ้นเรืออพยพจากเมียนมาเพื่อลี้ภัยไปมาเลเซีย แต่เมื่อมาขึ้นฝั่งที่ไทยกลับถูกนำตัวมากักกันไว้ที่นี่
“พล.ต.ต. ปวีณ พงศ์สิรินทร์” ซึ่งขณะนั้น เป็นหัวหน้าหัวหน้าทีมสืบสวนคดีค้ามนุษย์โรงฮิงญานี้ พบว่าการค้ามนุษย์ครั้งใหญ่นี้ไม่สามารถทำได้อย่างแน่นอนหากไม่มี “อาชญากรในเครื่องแบบ” ร่วมด้วย และเมื่อสืบสาวไปเรื่อย ๆ ก็พบว่ามีทั้งเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมือง นักการเมืองท้องถิ่นทางภาคใต้ ตำรวจและทหารหลายนาย รวมทั้งพลเรือนร่วมด้วย ระหว่างการสืบสวน “พล.ต.ต. ปวีณ พงศ์สิรินทร์” ก็มักถูกขัดขวาง ถูกปฏิเสธไม่ให้ข้อมูล และถูกปิดบังพยานหลักฐานจากเจ้าหน้าที่รัฐและจากตำรวจด้วยกันอยู่ตลอดเวลา รวมทั้งถูกข่มขู่ด้วย
และในที่สุด “พล.ต.ต. ปวีณ พงศ์สิรินทร์” ก็สามารถสรุปสำนวนส่งอัยการสูงสุดได้สำเร็จ โดยเอกสารมีความหนามากกว่า 2.7 แสนแผ่น ก่อนออกหมายจับผู้ต้องหาถึง 153 ราย ปัจจุบันศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษไปแล้ว 75 ราย โดยผู้ต้องหาระดับใหญ่สุดที่เขาสามารถนำตัวขึ้นศาลได้สำเร็จคือ “พล.ท.มนัส คงแป้น” ศิษย์เก่าเตรียมทหารรุ่น 16 และอดีตผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษกองทัพบก ซึ่งเขาเชื่อว่ายังมีตัวการใหญ่ระดับบิ๊กกว่านี้ที่ยังสาวไปไม่ถึง
แต่ก่อนจะสาวตัวถึงตัวการใหญ่ ในเดือนตุลาคม 2558 ที่ประชุมคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (กตร.) ที่มี “พล.อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณ” นั่งเป็นประธาน ได้สั่งย้าย “พล.ต.ต. ปวีณ พงศ์สิรินทร์” ไปรักษาราชการที่ชายแดนใต้ ซึ่งก็คงไม่พ้นเรื่องการทำคดีค้ามนุษย์โรฮิงญา
แต่เนื่องจาก “พล.ต.ต. ปวีณ พงศ์สิรินทร์” เขาทำคดีค้ามนุษย์นี้ก็สร้างความไม่พอใจให้เครือข่ายค้ามนุษย์ในพื้นที่เป็นอย่างมาก แน่นอนว่ามีคนที่พร้อมจะเอาคืน แถมยังต้องเผชิญกับทหารในพื้นที่นี้ ซึ่งไม่พอใจเขาเป็นทุนเดิม ดังนั้น หลายคนจึงคิดไปในทิศทางเดียวกันว่า นี่คือการส่งเขาไปตายชัด ๆ
อย่างไรก็ตาม “พล.ต.ต. ปวีณ พงศ์สิรินทร์” ได้ขอให้ผู้บังคับบัญชาและนายกรัฐมนตรี “พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา” ทบทวนคำสั่งย้าย แต่ไม่เป็นผล จึงตัดสินใจลาออกเพื่อรักษาชีวิตตัวเองเมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน 2558 และเรื่องนี้ก็กลายเป็นข่าวใหญ่ในทุกสื่อ โดยเขาลี้ภัยไปออสเตรเลียพร้อมครอบครัวย้ายไปอยู่ประเทศออสเตรเลียในฐานะผู้ลี้ภัย
ขณะที่ทีมข่าวไทยรัฐออนไลน์ได้สัมภาษณ์ “พล.ต.ต. ปวีณ พงศ์สิรินทร์” ที่ยังอยู่ในออสเตรเลีย เขาก็เผยว่าแม้รักในอาชีพตำรวจมาก เป็นแค่ลูกชาวบ้านธรรมดา ๆ ได้เรียนจบ โรงเรียนนายร้อย ได้เป็นตำรวจ กระทั่งมาดำรงตำแหน่งรองผู้บัญชาการ ทั้งหมดนี้สร้างความภาคภูมิใจให้กับตนเองและครอบครัว หากถามว่าเสียใจหรือไม่ต้องลาออกจากราชการก่อนวันเกษียณ ต้องขอตอบว่า “เสียใจมาก” และหากว่า
ถามว่าอยากกลับไทยมั้ย? “พล.ต.ต. ปวีณ พงศ์สิรินทร์” ก็บอกว่า “แน่นอนครับ นั่นคือบ้านเกิดของผม ผมยังมีบุคคลอันเป็นที่รักอยู่ที่นั่น เป็นความหวังของผม”
ที่มาข้อมูล: ไทยรัฐออนไลน์, พรรคก้าวไกล – Move Forward Party, ประชาไท, Rangsiman Rome – รังสิมันต์ โรม และ Poetry of Bitch
อ่านบทความที่เกี่ยวข้อง: ส่องทรัพย์สินและหญิงสาวเคยควงของ “ผู้กำกับโจ้” ที่มีเยอะมากผิดปกติ
อ่านบทความที่เกี่ยวข้อง: เปิดโปรไฟล์ผลงาน “ทนายโชคชัย” ของผู้กำกับโจ้ เจ้าของคดีสะเทือนวงการตำรวจ
อ่านบทความที่เกี่ยวข้อง: ส่องโปรไฟล์ “แพรพลอย” สาวถูกหนุ่มเทน้ำราดหัว ดีกรีนักมวย-ครูสอนมวยตำรวจหญิง